จากอาชีพเกษตรกรทำนา ในพื้นที่ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ที่เคยต้องกู้หนี้ยืมสินเพราะราคาข้าวที่ผันผวน ราคาปุ๋ยที่แพง ซ้ำยังถูกพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบกดราคาในเรื่องค่าความชื้น ทำให้สองสามีภรรยา จึงตัดสินใจหันมาปลูกบวบหอมขายสลับกับการทำนาสร้างรายได้ดีกว่าทำนาหลายเท่า

ทุกวันในเวลาตั้งแต่ 5 ทุ่ม เที่ยงคืนไปจนถึงราว 11 โมงเช้า “วัชรินทร์ จำเรือง” เกษตรกรหนุ่มใหญ่จะออกจากบ้านเดินไปที่ไร่บวบใกล้บ้านเพื่อจะรีบเก็บบวบหอมที่ปลูกไว้ที่หมู่ 9 ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งมีรวมๆ เกือบ 10 ไร่ เพื่อให้ทันกับที่พ่อค้าคนกลางจะมารับตอนเที่ยงหรือบ่ายโมงเพราะต้องนำไปบรรจุถุงละ 5 กก. ในราคากิโลกรัมละ 12 ถึง 14 บาท และยังเพื่อให้ทันกับการเจริญเติบโตของบวบ

วัชรินทร์ กล่าวต่อว่า บวบโตเร็วจนเรียกว่าเป็นวินาทีเลยด้วยซ้ำ สมมติว่า เย็นนี้บวบมีขนาดยาว 4 นิ้ว แต่พอรุ่งขึ้นก็จะมีขนาดใหญ่เท่าตัว บวบจึงเป็นพืชที่โตไว โตเร็วสามารถเก็บได้วันเว้นวัน ถ้าจะนับเวลาจากการนำเมล็ดพันธุ์ลงปลูก อีก 40-45 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว ยิ่งถ้าอากาศร้อนบวบจะยิ่งโตไวลูกใหญ่เพราะบวบเป็นพืชล้มลุกที่ชอบอากาศร้อน แต่ต้องไม่ขาดน้ำ ที่ไร่จึงใช้วิธีติดสปริงเกอร์ไว้ทั้งหมดเพื่อความสะดวกในการดูแล ในส่วนของข้อเสียของบวบก็มี อย่างเช่นถ้าหากเว้นสองวันไม่เก็บบวบจะแก่ใช้ไม่ได้พ่อค้าคนกลางไม่รับซื้อ

ด้วยเหตุนี้ วัชรินทร์ และ วิมล ภรรยาจึงต้องมาเก็บผลผลิตกันตั้งแต่ 5 ทุ่มเที่ยงคืน โดยในแต่ละวันสามารถเก็บบวบได้ 300 กิโลกรัม วันเว้นวัน ขายให้กับพ่อค้าที่มาจากตลาดไทย มาซื้อถึงบ้านกิโลกรัมละ 12 ถึง 14 บาท โดยในแต่ละครั้งจะได้เงิน 3,600 ถึง 4,200 บาท หนึ่งเดือนจะมีรายได้จากการขายบวบอยู่ที่ 54,000 หรือ 63,000 บาท นับว่าเป็นรายได้ที่สูงมากกับการลงทุนเพียงครั้งเดียวต่อการปลูกหนึ่งครั้งได้ผลผลิตยาวกว่าครึ่งปีหรือจนกว่าบวบจะหยุดให้ผลผลิต

จากการพูดคุยดูเหมือนว่า วัชรินทร์ จะมีความรู้เรื่องบวบ น้ำเต้า และฟักแฟง ซึ่งก็ได้คำตอบมาว่า วัชรินทร์ และวิมล ยึดอาชีพปลูกบวบคู่กับการทำนานมาเกือบ 30 ปี และไม่เคยเอาเปรียบคนซื้อ ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จนสามารถสร้างครอบครัวเป็นปึกแผ่น จนทุกวันนี้