ชุมพรชาวบ้านแห่แจ้งความอดีตนักการเมืองดัง พ่อ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล เก็บเงินค่ามัดจำโควต้ารับซื้อกล้ากระท่อมหลายแสนต้น แล้วผิดสัญญา ทวงถามแล้วถ่วงเวลาทำเสียหายนับล้านบาท
นางเสาวนีย์ ช่วยชูหนู นางราตรี สุคันโท นางวรารัตน์ มาลัยล้อม นางกัณธิชา จันเพชร์ และสมาชิกกลุ่มปลูกพืชกระท่อมนิคมท่าแซะ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร รวม 17 คน พร้อมทนายความนำหลักฐานเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.มธกร ฤทธิ์เนื่อง รอง ผกก.(สอบสวน)สภ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับอดีตนักการเมืองคนดัง และเป็นบิดาของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่ง ได้ผิดสัญญาทำให้เกิดความเสียหายเป็นเงินจำนวนนับล้านบาทเลยทีเดียว
โดยนางเสาวนีย์ ช่วยชูหนู ได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ ระบุว่าเมื่อวันที่ 19 ก.พ.65 ที่ผ่านมา บุคคลมีชื่อเสียงดังกล่าวได้เรียกประชุมกลุ่มเกี่ยวกับโครงการจองโควตาต้นกล้ากระท่อม ที่บ้านเลขที่ 164 หมู่ 18 ตำบลท่าแซะ จ.ชุมพร ในวันดังกล่าวมีผู้ร่วมประชุมประมาณ 30 คน โดยได้ชักชวนให้ผู้ร่วมประชุมจองโครงการต้อนกล้ากระท่อม โดยอ้างว่าตนได้ทำสัญญากับบริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่ โดยให้ผู้เข้าร่วมประชุมปลูกต้นกล้ากระท่อมแล้วจะรับซื้อในราคาต้นละ 30 บาท มีกำหนดส่งมอบต้นกล้ากระท่อมในเดือนพฤษภาคม 2565 แต่ผู้ร่วมโครงการต้องทำสัญญาจองโควต้าการส่งมอบดังกล่าวต้นละ 1 บาท แล้วทางบริษัทที่จะรับซื้อต้นกล้าพืชกระท่อม
ในวันดังกล่าวได้มีสมาชิกของกลุ่มจำนวน 17 คนที่เข้าร่วมโครงการ แล้วทำสัญญาจองโควต้ากับบุคคลดังกล่าวรวมจำนวน 430,000 ต้น โดยแต่ละคนที่ทำสัญญาได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารชื่อบุคคลดังกล่าว หลังจากนั้นผู้ร่วมโครงการทั้งหมดได้ลงทุนปลูกต้นกล้าพืชกระท่อมตามจำนวนที่จองโควตาต้นละ 1 บาท รายละ 10,000-100,000 ต้น รวม 17 คน จำนวน 430,000 ต้น
นางเสาวนีย์ กล่าวว่า หลังจากครบสัญญาไปแล้วกระทั่งต้นเดือนมิถุนายน 2565 บุคคลดังกล่าวไม่มารับต้นกล้าพืชกระท่อมจากสมาชิกในกลุ่ม ทางกลุ่มจึงได้ติดต่อกลับไป ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวแจ้งว่าจะจ่ายเงินค่าจองโควตาคืนและจ่ายค่าเลี้ยงดูต้นกล้าให้อีกต้นละ 1 บาท เนื่องจากทางบริษัทที่จะรับซื้อมีปัญหาในการส่งออก จึงไม่สามารถรับซื้อต้นกล้าตามสัญญาได้ และรับปากว่าในวันที่ 15 ก.ค.2565 จะจ่ายเงินค่ามัดจำโควต้าต้นละ 1 บาท คืนให้และจ่ายค่าเลี้ยงดูต้นกล้าอีกต้นละ 1 บาท รวมเป็นเงินต้นละ 2 บาท แต่เมื่อถึงเวลาก็ไม่ได้นำเงินมาจ่ายให้แต่อย่างใด จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.ท.มธกร ฤทธิ์เนื่อง รอง ผกก.(สอบสวน)สภ.ท่าแซะ ได้แจ้งต่อตัวแทนและสมาชิกกลุ่มว่าจะรับแจ้งความไว้เบื้องต้น จากการตรวจสอบยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการกระทำดังกล่าวจะผิดอาญาหรือไม่อย่างไร จะต้องเรียกตัวบุคคลดังกล่าวมาสอบถามข้อเท็จจริงและดูหลักฐานต่าง ๆ หากพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดอาญา จะแจ้งให้ผู้เข้าร่วมโครงการมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอีกครั้ง
จากนั้นช่วงบ่าย นางเสาวนีย์ ช่วยชูหนู นางราตรี สุคันโท นางวรารัตน์ มาลัยล้อม นางกัณธิชา จันเพชร์ และสมาชิกกลุ่มปลูกพืชกระท่อมท้องที่ อ.ท่าแซะ นำผู้สื่อข่าวไปยังแปลงเพาะปลูกต้นกล้าพืชกระท่อม ของแต่ละรายมีการทำสัญญาจองขายโควต้ากันตั้งแต่ 10,000-100,000 ต้น รวม 17 ราย รวมจองขายตามโควตาจำนวน 430,000 ต้น ราคาต้นละ 30 บาท คิดเป็นเงินมากถึง 12,9000,000 บาท โดยเริ่มเพาะต้นกล้ามาตั้งแต่เดือน ก.พ.65 ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูจำนวนมาก บางคนถึงกับนอนร้องให้เพราะเป็นหนี้สินจากกาลงทุนเพาะต้นกล้าดังกล่าว
นางเสาวนีย์ กล่าวว่า กรณีนี้ได้เคยไปร้องศูนย์ดำรงธรรมจงหวัดไว้แล้วแต่ไม่มีอะไรคืบหน้า ซึ่งจากกรณีดังกล่าวพวกเราเห็นว่าบุคคลที่มาทำสัญญาตามโครงการเป็นผู้มีชื่อเสียงมาก พวกเราจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการเพาะต้นกล้ากระท่อมขายต้นละ 30 บาท ก่อนขายต้องเสียเงินค่าโควตาอีกต้นละ 1 บาท เลี้ยงกันมานานกว่าจะโตจนถึงวันนี้เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มซื้อดิน ซื้อถุงเพาะ ค่าปุ๋ย ค่าน้ำประปา ค่าโรงเรือน เฉลี่ยต้นทุนละมากกว่าต้นละ 10 บาท และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูรดทำและอื่น ๆอีกทุก ๆวัน
เมื่อผิดสัญญาจะมาบอกเลิกสัญญาแล้วจะจ่ายคืนเงินค่าวางมัดจำโควต้าต้นละ 1 บาท และค่าเลี้ยงดูอีกต้นละ 1 บาท มันชอบธรรมแล้วหรือ และต้นกล้ากระท่อมเริ่มจะเสียหาย จะขายช่วงนี้ก็ไม่มีใครซื้อแล้ว เป็นถึงบุคคลมีชื่อเสียง และเท่าที่รู้มายังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมากที่ยังไม่กล้าออกมาทั้งในจังหวัดชุมพรและจังหวัดใกล้เคียง หลังจากนี้พวกตนจะไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย