กทม.-“บิ๊กจ๋อ” นำกำลัง PCT ตามรวบแล้ว “เบียร์ บ้านแพ้ว” แก๊งคอลเซ็นเตอร์มือเชือด 150 ล้านบาท ปลอมเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย
เมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ ศูนย์สืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 เปิดเผยว่า ปัญจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการแพร่ระบาดอย่างหนักในประเทศไทย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก็งคอลเซ็นเตอร์เป็นอันดับหนึ่งโดยได้ใช้มาตรการทุกมิติ จนเรียกได้ว่าเป็นการทำสงครามกับแก็งคอลเซ็นเตอร์ โดยที่ผ่านมามีการหารือและทำ MOU ในการแก้ไขปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมาทางไซเบอร์ แบบทวิภาคีระหว่างรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกับรัฐบาลประเทศกัมพูชา
ล่าสุดศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 นำโดย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 ได้สืบสวนจนทราบว่า แก็งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้แผนประทุษกรรมหลอกลวงเป็นพนักงานขนส่งบริษัทเอกชน “fedex” เรื่องพัสดุผิดกฎหมาย และหลอกเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ “สภ.เมืองเชียงราย” นั้นมีที่ตั้งอยู่ที่ ตึกประตูดำ 8 ชั้น ซ.วัดตาด เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา หรือที่เรียกกันว่า “ตึกประตูดำ” ซึ่งต่อมา ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ได้สืบสวนขบวนการนี้เก็บข้อมูลบุคคลภายในตึกเป็นเวลากว่า 6 เดือน พบว่าเมื่อวันที่ 22 ก.ค.65 ได้มีผู้เสียหายได้ถูกแก็งคอลเซ็นเตอร์นี้หลอกลวง มูลค่าความเสียหาย 41,517,869 บาท และเมื่อวันที่ 30 ก.ค.65 ได้มีผู้เสียหายซึ่งเป็นแพทย์ได้ถูกแก็งคอลเซ็นเตอร์นี้หลอกลวงอีก มูลค่าความเสียหาย 101,871,381 บาท ซึ่งนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ได้วิเคราะห์แผนประทุษกรรมประกอบกับพยานหลักฐานที่สืบสวนได้จากการสืบสวน ยืนยันได้ว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ “ตึกประตูดำ” จึงได้เร่งรัดให้ดำเนินการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดทั้งหมดทั้งต่างประเทศ และในประเทศอย่างต่อเนื่อง
ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 18.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร (PCT) , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชป.5 ศปอส.ตร. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.ภ.2/รอง หน.ชป.5 ศปอส.ตร. , พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ทองแพ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.สส.ภ.จว.ระยอง , พ.ต.อ.วิชัย สนสกุล ผกก.1 บก.ปส.1/จนท.ชป.5 ศปอส.ตร. , พ.ต.ต.มาโนชย์ ทองแก้ว สว.ฯ , พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ จงเจริญ สว.ฯ , พ.ต.ต.สุริยะ น้อยภักดี สว.ฯ พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี สว.ฯ , พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ เสวกวัง สวฯ , พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า สว.ฯ , ร.ต.อ.ภัสส์กร เฉลียวบุญ รอง สว.ฯ และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT 5 สามารถจับกุมตัวนายชลวิชา ปานสมุทร หรือเบียร์ อายุ 32 ปี ที่อยู่ 19 ม.4 ต.เจ็ดริ้ว อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานสาย 3 ที่ปลอมเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2298/2565 ลงวันที่ 28 ต.ค. 65 พร้อมตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวน 16 รายการ 1. สมุดบัญชีธนาคารกรุงเทพของ น.ส.จุฑามาศ จำนวน 1 เล่ม2. สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทยของ น.ส.จุฑามาศ จำนวน 1 เล่ม ,3. แหวนโลหะคล้ายทองคำ น้ำหนัก 1 บาท จำนวน 1 วง ,4. สร้อยคล้ายทองคำ น้ำหนัก 4 บาท จำนวน 1 เส้น ,5. นาฬิกาข้อมือ ยี่ห้อ Casio สีดำ จำนวน 1 เรือน ,6. เงินสด จำนวน 745 บาท 7. ธนบัตรสกุลเงินดอลลาร์ จำนวน 1 ดอลลาร์ 8. ธนบัตรสกุลเงินเรียล จำนวน 16,500 เรียลกัมพูชา ,9. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 12 pro max สีฟ้า จำนวน 1 เครื่อง,10. นาฬิกาข้อมือยี่ห้อ LongBo สีดำ จำนวน 1 เรือน,11. แหวน คล้ายทอง น้ำหนัก 1 สลึง จำนวน 1 วง,12. กำไรคล้ายทอง น้ำหนัก 1 บาท จำนวน 1 เส้น,13. สร้อยพระ คล้ายทอง น้ำหนัก 2 บาท จำนวน 1 เส้น,14. สร้อยพระ คล้ายทอง น้ำหนัก 2 สลึง จำนวน 1 เส้น15. เงินสด จำนวน 1,874 บาทและ16. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 13 pro max สีเขียว จำนวน 1 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น , ร่วมกันอั้งยี่ , ร่วมกันเป็นซ่องโจร , ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันโดยทุจริตฯ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และร่วมกันฟอกเงินฯ” ได้บริเวณลานจอดรถ ร้านเค้กบ้านสวน (ขาเข้าสระบุรี) ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 58 หมายจับ ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 65 พล.ต.อ.วรรณวีระ สม ผู้ช่วย ผบ.ตร./ผบช.กองบัญชาการรักษาความมั่นคงภายใน ตำรวจกัมพูชา และคณะ ได้เดินทางมาพบ ผบ.ตร. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประเทศไทย โดยได้วางแนวทางหารือเพื่อปฏิบัติการทลายแก็งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว และมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า ผู้ที่เป็น “มือเชือด” ที่หลอกลวงให้โอนเงินในขั้นตอนสุดท้าย หรือเรียกว่าสายสามทั้ง 2 คดีนี้ ได้เงินไปกว่า 150 ล้านบาท คือ นายชลวิชา ปานสมุทร หรือเบียร์ ผู้ต้องหาซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานสาย 3 ที่ปลอมเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ผกก. สภ.เมืองเชียงราย ในขบวนการนี้ ซึ่งได้มีรวบรวมพยานหลักฐานจนนำมาสู่การออกหมายจับ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2298/2565 ลงวันที่ 28 ต.ค. 65 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น , ร่วมกันอั้งยี่ , ร่วมกันเป็นซ่องโจร , ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันโดยทุจริตฯ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และร่วมกันฟอกเงินฯ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชป.5 ศปอส.ตร. จึงได้ประสานงานเร่งรัดให้ทางการประเทศกัมพูชาดำเนินการ
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ได้เดินทางไปยังเมืองปอยเปต ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศกัมพูชา เข้าปฏิบัติการทลายแก็งคอลเซ็นเตอร์ประตูดำดังกล่าว แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงได้พบว่าหัวหน้าชาวไต้หวันได้สร้าง “ทางลับ” นำพาพนักงานคอลเซ็นเตอร์คนไทยหลบหนีออกไปจากตึกระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้นตึก โดย นายชลวิชา ปานสมุทร หรือเบียร์ หรือ “มือเชือด 150 ล้าน” รายนี้สามารถหลบหนีออกจากตึกไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT 5 ได้ไล่ติดตาม “มือเชือด 150 ล้าน”และสืบถามว่า เดินทางกลับประเทศไทยถูกจับกุมตัวในที่สุด
โดยเบื้องต้นในชั้นจับกุม นายชลวิชา ให้การรับสารภาพว่า “ตนได้ร่วมกันกับพวก หลอกลวงผู้เสียหายจริง โดยเริ่มต้นข้ามไปประเทศกัมพูชาทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อทำงานเป็นแอดมินเว็บพนันที่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยทำเรื่อยมาตั้งแต่เดือน พ.ย.2564 ซึ่งช่วงเดือน ก.พ.2565 ถูกย้ายตึกทำงานประตูดำ และได้เริ่มหลอกลวงเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์สาย 2 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย ยศร้อยตำรวจโท แต่เมื่อทำมาได้ระยะหนึ่ง หัวหน้าชาวไต้หวัน ได้เห็นถึงความสามารถในการเชือด ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่สาย 3 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ยศพันตำรวจเอก โดยหลอกลวงผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุมคดีของนายจักรพงศ์ รือเสาะ ตั้งแต่ทำงานเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ ตนสามารถหลอกลวงผู้เสียหายได้ประมาณ 7-8 ล้านบาทต่อเดือน และเคสใหญ่ๆ ที่ตนหลอกได้มี 3 ครั้ง คือ
1. ช่วงประมาณ เดือน เม.ย.2565 หลอกลวง นางอำภา ข้าราชการครูเกษียณ ได้ประมาณ 11 ล้านบาท
2. ช่วงประมาณ เดือน ก.ค.2565 หลอกลวง นายชาญชัย นักลงทุนหุ้น ได้ประมาณ 41 ล้านบาท
3. ช่วงประมาณ ต้นเดือน ต.ค.2565 หลอกลวง นางรัชนี เป็นหมอ อยู่เมืองชุมพร ซึ่งเป็นเคสล่าสุดที่ได้หลอกลวง โดยตนรับว่าเป็นผู้หลอกลวงหลักในเคสนี้ และมีเพื่อนชื่อ เต๋า ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง ช่วยพูดคุยหลอกลวงด้วย ได้ประมาณ 101 ล้านบาท
แก็งคอลเซ็นเตอร์แก็งนี้มีพนักงานเป็นคนไทยประมาณ 50-60 คน ในส่วนของเงินเดือนที่ได้การทำงานตั้งแต่เริ่มงาน ช่วง 1-3 เดือนแรก จะได้เงินเดือนประมาณ 20,000 บาท แต่ภายหลังเป็นพนักงานเก่า จึงได้ปรับเงินเดือนเพิ่มเป็น 30,000 บาท และได้ค่าคอมมิชชั่นจากการหลอกลวง 3% และคอมมิชชั่นล่าสุดที่สามารถหลอกลวงได้ 101 ล้าน ได้เงินสดมา 2 ล้านบาท และเคสเก่าที่เคยหลอกลวงได้ 40 ล้านบาท ตนได้เงินประมาณ 1,400,000-1,500,000 บาท และเคสเก่าที่เคยหลอกลวงได้ 10 ล้านบาท ได้เงินสด 300,000 บาท โดยรวมทั้งหมดที่ทำงานมาได้เงินมาทั้งหมดประมาณ 4,000,000 บาท โดยตอนหลบหนีกลับมาที่ประเทศไทยได้พกเงินสดติดตัวไว้ 600,000 บาท โดยเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ตนได้นำเงินมาใช้สร้างบ้านรวมประมาณ 1 ล้านบาท แบ่งให้ญาติใช้จ่าย รวม 1 ล้านบาท นำไปซื้อทองรูปพรรณมาเก็บไว้ประมาณ 5 แสนบาท ที่เหลือได้นำมาใช้จ่ายส่วนตัวและส่วนหนึ่งได้นำไปใช้เล่นพนันออนไลน์ เพื่อความสุขส่วนตน”
หลังจับกุม พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./ชป.5 ศปอส.ตร.และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT 5 นำตัวผู้ต้องหามาขยายผลที่ บก.สส.บช.น.เพื่อขยายผลติดตามการจับกุมเส้นทางการเงินเพื่ออายัดเงินที่ผู้ต้องหาได้จากการหลอกลวงมาทั้งหมด และได้มีการติดตามให้ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงเงินจำนวน 41 ล้านบาท และผู้เสียหาย (แพทย์) ที่ถูกหลอกลวงกว่า 100 ล้านบาท มาเข้ายืนยันเสียง ซึ่งทั้งสองได้ยืนยันว่าเสียงของนายชลวิชาฯ หรือ “มือเชือด 150 ล้าน” รายนี้ เป็นเสียงที่ทั้งสองถูกหลอกลวงจริงๆ จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สอท.1 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และติดตามยึดทรัพย์สินต่อไป
พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า “มือเชือด 150 ล้านบาทรายนี้ มีเทคนิควิธีการที่จะสร้างความกลัวให้เหยื่อ มีวิธีการหลอกลวงได้อย่างแนบเนียนกว่าพนักงานคอลเซ็นเตอร์คนอื่น จนได้รับความไว้วางใจจากบอสชาวไต้หวัน ถือเป็นบุคคลที่เป็นภัยสังคม สร้างความเดือดร้อนให้คนไทยด้วยกัน ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งรัดเดินหน้าปราบปรามขบวนการแก็งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจังต่อไป ขอเตือนประชาชนที่คิดจะไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ให้ทราบว่า ไม่ว่าอย่างไร สักวันหนึ่งพวกคุณจะต้องถูกจับ พวกคุณจะต้องกลับมาแบบอาชญากร มิใช่เหยื่อ และจะต้องถูกยึดทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมด และขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนคนไทยอย่าได้หลงเชื่อกลวิธีเหล่านี้ ท่านจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ หรือหากท่านมีเบาะแสสามารถติดต่อไปยัง สายด่วน 1441 ตำรวจไซเบอร์ หรือ ศูนย์ ศปอส.ตร. 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com นอกจากนี้ยังได้จัดทำรูปแบบแผนประทุษกรรมของคนร้าย เพื่อให้ประชาชนรับรู้ โดยสามารถเข้าไปติดตามได้ที่ www.pctpr.police.go.th”