
วิกฤติโลกเดือด-COP30 “เสียงจากป่าอเมซอน: ไฮเวย์สู่นรกภูมิอากาศ” ในมุมมองของ “มิสเตอร์เอทานอล-อลงกรณ์ ประธานWCF-FKII-AIT”

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท
(WCF:Worldview Climate Foundation) และประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพลังงานทดแทนพลังงานทางเลือกเพื่อลดพลังงานฟอสซิลแก้ไขปัญหาก๊าซเรือนกระจกมากว่า 20 ปีในฐานะ “มิสเตอร์เอทานอล” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT) ได้โพสต์บทความในเฟสบุ้ค”อลงกรณ์ พลบุตร”วันนี้เรื่อง “เสียงจากป่าอเมซอน:
COP30 ไฮเวย์สู่นรกภูมิอากาศ”
ในช่วงที่มีการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP 30) ซึ่งจัดขึ้น ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน 2568มีสาระน่าสนใจและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาโลกร้อนโลกเดือดที่ส่งผลกระทบต่อโลกและประเทศไทยพร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายลดโลกร้อนโดยเร็วที่สุดเพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและซีโร่คาร์บอนของไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้

“เสียงจากป่าอเมซอน: COP30ไฮเวย์สู่นรกภูมิอากาศ”
โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท
(WCF:Worldview Climate Foundation)
ประธานกิตติมศักดิ์และผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย(AIT). ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. (FKII)
“โลกกำลังอยู่บน ‘ไฮเวย์สู่นรกภูมิอากาศ’และยังมุ่งหน้าสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่สูงกว่า 2 Cอย่างชัดเจน”
อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ
สถานการณ์ปัญหาก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ภาวะวิกฤตเร็วเกินคาด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกือบครึ่งหนึ่งถูกปล่อยออกมาแบบอัตราเร่งตั้งแต่ปี 1990 หรือเพียง 35 ปี
ล่าสุดองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกรายงานว่าความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2567 พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 423.9 ส่วนต่อล้านส่วน โดยอัตราการเพิ่มมากที่สุดในปี 2566 ถึง 2567
ในขณะที่โครงการคาร์บอนโลก (Global Carbon Project) รายงานว่า 90% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกในปี 2567 เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ส่วนที่เหลืออีก 10% เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์
จึงไม่น่าแปลกใจที่ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP 30) ซึ่งจัดขึ้น ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน 2568 จึงเปิดฉากด้วยถ้อยแถลงที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก การวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดและการเรียกร้องให้เปลี่ยนจากคำมั่นสัญญาไปสู่การ “ปฏิบัติจริง”

เสียงเตือนจากยูเอ็น: ไฮเวย์สู่นรกภูมิอากาศ
อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวถ้อยแถลงที่รุนแรงที่สุดในการประชุม COP30
“ความล้มเหลวในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5°C ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีส เป็นความล้มเหลวทางศีลธรรมและความประมาทอย่างร้ายแรง เรากำลังมุ่งหน้าสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่สูงกว่า 2°C ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของหลายฝ่าย ดังนั้นเราไม่สามารถละทิ้งขีดจำกัด 1.5°C ได้ เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงหายนะทางสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายที่สุด
COP ครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนทิศทาง เราต้องดำเนินการเรื่องการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และรับรองการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาอันเลวร้ายจากการเพิกเฉยร่วมกันของเรา
“โลกกำลังอยู่บน ‘ไฮเวย์สู่นรกภูมิอากาศและยังมุ่งหน้าสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่สูงกว่า 2 Cอย่างชัดเจน”
เลขาธิการ UN ได้วิจารณ์การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่ออุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งกำลังทำกำไรเป็นประวัติการณ์แต่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อสภาพภูมิอากาศ
กว่าหนึ่งปีก่อนหน้านี้ เลขาฯยูเอ็นประกาศว่า“ยุคของโลกร้อน(Global warming)สิ้นสุดลงแล้วเรากำลังเข้าสู่ยุคโลกเดือด(Global boiling)”
วิกฤติและทางออกของวิกฤตโลกเดือด?
นายไซมอน สตีล เลขาธิการบริหาร UN Climate Change (UNFCCC) ได้เน้นย้ำถึง “เศรษฐศาสตร์แห่งความไม่ลงมือทำ” โดยชี้ว่าการเพิกเฉยต่อวิกฤตนี้จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล และเรียกร้องให้ COP30 บรรลุข้อตกลงในการ เพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน 3 เท่า และระดมเงินทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็น “เรื่องราวการเติบโตของศตวรรษที่ 21”

ในฐานะประธานและเจ้าภาพ COP30
นายลูอิส อินาซียู ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล ประกาศให้ COP30 เป็น “COP แห่งความจริง” และ “COP แห่งการปฏิบัติ (COP of implementation)” โดยชี้ว่าการจัดประชุมที่เมืองเบเลง ใกล้ปากแม่น้ำอเมซอน มีขึ้นเพื่อตอกย้ำว่าป่าอเมซอนคือส่วนสำคัญของการแก้ปัญหาวิกฤต และเรียกร้องให้โลก “หยุดปฏิเสธข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์” คำเรียกร้องนี้คงตั้งใจส่งไปถึงทำเนียบขาวและประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ที่ไม่ยอมเข้าร่วมการประชุม COP30 และมีจุดยืนไม่ยอมรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมาตรการลดโลกร้อน
เอกอัครราชทูต อังเดร กอร์เรีย โด ลาโก ประธาน COP30 ได้วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “ประเทศร่ำรวยหมดแรง” ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน และการที่ประเทศเหล่านี้ยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น “1.5 C เป็น “ดาวเหนือ” นำทางในการกำหนดแผนการลดก๊าซเรือนกระจก (NDCs) รอบใหม่”
ความมุ่งมั่นของไทยและ Climate Justice
ในส่วนของประเทศไทยได้แสดงความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้น โดยยืนยันถึงการเร่งเป้าหมาย Carbon Neutrality เป็นปี 2050 และตั้งเป้าลดก๊าซในแผน NDC รอบใหม่ที่ 47% ภายในปี 2035
อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงของไทยได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของ “ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ (Climate Justice)” โดยเรียกร้องให้ประเทศพัฒนาแล้วปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการให้ การสนับสนุนทางการเงินและเทคนิค อย่างเพียงพอ เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไปสู่คาร์บอนต่ำได้อย่างเป็นธรรม โดยย้ำว่าการต่อสู้กับโลกร้อนนั้นไม่อาจแยกออกจากปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ได้

เรื่องด่วนที่รัฐบาลควรทำ:
เร่งออกกฎหมายลดโลกร้อน
ประเทศไทยกำลังจัดทำกฎหมายใหม่คือ”ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act)”เพื่อสร้างกรอบกฎหมาย (Legal Framework)ที่มั่นคงและมีประสิทธิภาพ
ร่างกฎหมายนี้ไม่เพียงแต่กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและมาตรการปรับตัว แต่ยังมีการนำการกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) มาใช้บนพื้นฐานของหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) รวมทั้งกลไกอื่นๆ
กฎหมายนี้คือหนึ่งในเครื่องสำคัญในการ“ลงมือทำตามคำมั่นสัญญา“ช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจกจึงจำเป็นต้องเร่งรัดตรากฎหมายนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
สรุป: มืดมนแต่มุ่งมั่น
แม้COP30ที่เบเลงเปิดขึ้นด้วยการประเมินสถานการณ์ที่มืดมนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
อีกไม่กี่วันการเจรจาในห้องประชุมต้องสิ้นสุดลง และถึงเวลาที่จะต้องลงมือปฏิบัติอย่างเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายคือการปลดล็อกเงินทุนมหาศาลและกำหนดแผนการลดก๊าซที่ปฏิบัติจริงเพื่อรักษาเป้าหมาย 1.5 Cไว้ให้ได้
แม้จะเลย “เส้นแดง” ไปแล้วก็ตาม.
(ติดตามตอน2
“COP30 : 2 องศาC หายนะไทยมหันตภัยโลก”)




























































































