จากสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งผลให้แรงงานชาวกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย เดินทางกลับประเทศเป็นจำนวนมาก ปัญหาดังกล่าวสร้างความกังวลต่อผู้ประกอบการภาคการเกษตร โดยเฉพาะสวนลำไยที่กำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต จึงมีการเร่งหามาตรการแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ

ขณะเดียวกันบนสื่อสังคมออนไลน์ ได้มีการเผยแพร่ประกาศรับสมัครแรงงานคนไทยจำนวนกว่า 30,000 อัตรา เพื่อทำงานเก็บลำไยในจังหวัดจันทบุรี ทดแทนแรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศ โดยมีที่พักฟรี ทำงานต่อเนื่อง 9 เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ถึงเมษายน 2569 รายได้เฉลี่ยวันละ 700–1,300 บาท ขึ้นอยู่กับความสามารถและความขยัน

ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ส.ค.2568 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สวนลำไยในอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นวันแรกของการเก็บเกี่ยวผลผลิตต้นฤดูกาล นายณรงค์เวทย์ มหเศรษฐพงษ์ ฝ่ายจัดซื้อลำไยเพื่อการส่งออก เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้แรงงานเก็บลำไยเกือบทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา จำนวน 500 คน แต่หลังเกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดน จึงได้ประสานเครือข่ายในหลายจังหวัด รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการประชาสัมพันธ์รับสมัครแรงงาน

ส่งผลให้ปัจจุบันมีแรงงานไทยเข้ามาทำงานแล้วกว่า 300 คน จากทุกภูมิภาค และยังต้องการเพิ่มเติมอีกประมาณ 100–200 คน ซึ่งเป็นการจ้างงานในลักษณะเหมารายตะกร้า ในอัตรา ตะกร้าละ 45 บาท ผู้มีทักษะสามารถทำรายได้สูงถึงวันละ 1,500 บาท โดยในช่วงแรกจะเป็นการฝึกงานเพื่อเรียนรู้วิธีเก็บเกี่ยวให้ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ การใช้แรงงานคนไทยมีข้อดีคือสามารถเคลื่อนย้ายทำงานได้ทั่วประเทศ ต่างจากแรงงานต่างชาติที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ทำงาน

ด้านนางชุติมา งบสูงเนิน เจ้าของสวนลำไยในตำบลปะตง อำเภอโป่งน้ำร้อน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าจะไม่มีแรงงานเก็บเกี่ยว แต่เมื่อมีแรงงานไทยเข้ามาช่วย ทำให้สามารถเดินหน้าการเก็บลำไยได้ต่อเนื่อง แม้ทักษะยังต้องฝึกฝน แต่เชื่อว่าจะพัฒนาได้ พร้อมเสนอให้ภาครัฐพิจารณาเปิดทางให้แรงงานจากประเทศอื่นเข้ามาทำงาน เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาแรงงานเพียงชาติเดียว

ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับแรงงานชาวไทยที่เพิ่งเข้ามาเรียนรู้และฝึกเก็บลำไย หนึ่งในนั้นคือ นางอัจฉรา วรรณกิจ ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เดินทางมาพร้อมครอบครัวหลายคน หลังได้รับคำแนะนำจากผู้เคยทำงานมาก่อน เผยว่าการเก็บลำไย “ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย” ต้องอาศัยการฝึกและความตั้งใจ เพราะรายได้ขึ้นอยู่กับความขยัน ยิ่งทำมากก็ยิ่งได้มาก แม้ต้องเดินทางไกลหลายพันกิโลเมตรก็ไม่รู้สึกกังวล เนื่องจากพื้นที่บ้านเกิดไม่มีงานทำ

ขณะเดียวกัน นายอโนชา ชูกลิ่น หนุ่มภาคอีสาน ชาวจังหวัดศรีสะเกษ เดินทางมากับเพื่อนร่วมจังหวัดรวม 17 คน หลังทราบว่ามีรายได้ขั้นต่ำวันละ 700 บาท ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว จึงตัดสินใจมาทำงาน พร้อมยืนยันว่าไม่กังวลต่อสถานการณ์ชายแดน และมองว่าการเก็บลำไยไม่ได้หนักอย่างที่คิด แถมมีรายได้ดี

นอกจากนี้ นางสาวณัฏฐณิชา เผื่อนแก้ว ชาวเชียงใหม่ สาวภาคเหนือ เล่าว่ามีประสบการณ์เก็บลำไยจากภาคเหนือ แต่พบว่าการเก็บในภาคตะวันออกมีความแตกต่าง โดยภาคเหนือเก็บแบบลำไยร่วง ขณะที่ภาคตะวันออกเก็บเป็นช่อใส่ตะกร้า เนื่องจากงานเก็บลำไยที่เชียงใหม่สิ้นสุดแล้ว จึงเลือกเดินทางมาจันทบุรี นอกจากรายได้แล้ว ยังมองว่าเป็นโอกาสเรียนรู้วิธีทำงานในพื้นที่ใหม่ ได้ความรู้และได้ประสบการณ์ติดตัว

นอกจากนี้การมาทำงานที่นี่ นายจ้างดูแลทั้งที่พักและสวัสดิการเป็นอย่างดี พร้อมเชิญชวนแรงงานจากทั่วประเทศมาร่วมเก็บเกี่ยวลำไยในพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกช่วงฤดูกาลนี้