
“ภูมิธรรม” นำแถลงการผลสอบสวนที่ดิน “เขากระโดง” ชี้ชัดเป็นที่ดินรัฐ สั่งการกรมที่ดินเดินหน้าถอนโฉนดเขากระโดงตามคำพิพากษาศาล ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. 68 เป็นต้นไป พร้อมเผยรายละเอียดของผลการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน
วันนี้ (1 ส.ค. 68) เวลา 14.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการแถลงข่าวความคืบหน้าการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน กรณีไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณเขากระโดง ต.อิสาณ และ ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสราวุธ อ่อนละมัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร ในฐานะประธานกรรมการ พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ ได้แก่ นายมานะ สิมมา ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นายไกรศรี สว่างศรี ผู้อำนวยการส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมแถลง ณ ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายภูมิธรรม กล่าวว่า หลังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งถึงการเพิกเฉยของกรมที่ดิน กรณีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์บริเวณเขากระโดง แม้ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาชัดเจนแล้วว่าที่ดินเขากระโดงเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งถือเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งตนได้แต่งตั้งนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้กำกับดูแลกรมที่ดิน และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน กรณีไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณเขากระโดง ขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 โดยมี รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหารเป็นประธานกรรมการเพื่อตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว
.
“จากกรณีเรื่องร้องเรียนในพื้นที่เขากระโดงดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงในสื่อว่า การดำเนินการของกรมที่ดินขัดต่อคำพิพากษาศาลหรือไม่ ตามที่ได้มีคำพิพากษาศาลถึงที่สุดว่าที่ดินเป็นที่ของการรถไฟ จากหลักฐานสำคัญ ประการที่ 1) แผนที่ที่ดินพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานให้การรถไฟเพื่อใช้ประโยชน์โดยเฉพาะในราชการ ดังนั้นจึงถือเป็นที่ดินของรัฐ และ 2) ในปี พ.ศ. 2465 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ออกพระราชกฤษฎีการับรองสิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งในขณะนั้นการรถไฟได้เข้าไปดำเนินการพบว่า มีชาวบ้าน 18 ครอบครัวที่ครอบครองพื้นที่นี้อยู่ และได้ขายคืนให้การรถไฟ จึงเป็นที่ดินของการรถไฟโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การที่เอกชนมาครอบครองที่ดินของรัฐในภายหลังจึงมิชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งไม่มีสิทธิ์อ้างเป็นที่ของตนเองได้” นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสอบสวนจากส่วนที่เกี่ยวข้องยืนยันตรงกันว่า “ที่ดินบริเวณเขากระโดงถือเป็นที่ดินของรัฐตามกฎหมาย” และต้องดำเนินการชัดเจน ซึ่งทุกฝ่ายได้มีการทำแผนที่ให้ชัดเจนแล้ว ดังนั้น กรมที่ดินจึงสามารถเพิกถอนโฉนดโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรค 8 ดำเนินการได้ทันที โดยเริ่มดำเนินการเพิกถอนโฉนดในพื้นที่ที่ไม่มีข้อพิพาทแนวเขต และจะดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดในพื้นที่ชายขอบต่อไปเพื่อความรอบคอบ
นายเดชอิศม์ กล่าวว่า เนื่องจากมีคำพิพากษาศาลว่าที่ดินเขากระโดงเป็นที่ดินของการรถไฟ จากนั้นการรถไฟได้ทำหนังสือถึงกรมที่ดิน ในขณะนั้นระบุว่ากรมที่ดินเพิกเฉย ไม่ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลทางการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงฟ้องกรมที่ดินต่อศาลปกครองกลาง เพื่อให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งศาลปกครองกลางได้พิพากษาให้เพิกถอนโฉนดตามคำพิพากษาศาลฎีกา ในส่วนที่ไม่มีปัญหาเรื่องขอบเขต ให้เพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรค 8 ได้ทันที ในส่วนที่มีข้อขัดแย้งเรื่องขอบเขตที่ดิน ศาลปกครองจึงมีคำสั่งให้อธิบดีกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 วรรค 2 ทำหน้าที่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงร่วมกับการรถไฟ เพื่อทำให้ขอบเขตมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ต่อมามีคำสั่งให้ยุติเรื่องโดยให้เหตุผลต่าง ๆ
โดยอธิบดีกรมที่ดินเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการชุดนั้น ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่า กรมที่ดินไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งภายหลังจากที่ตนได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินอีก 1 ชุดว่าคำสั่งดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ ผลสรุปพบว่า ไม่ได้ดำเนินการอย่างครบถ้วน ดังนั้นจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในปี 2567 ทางกรมที่ดินได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยตรวจสอบแนวเขตร่วมกันอย่างชัดเจนแล้ว จึงสรุปได้ว่า “อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนโฉนดตามมาตรา 67 วรรค 8 ได้ทันที”
นายเชษฐา กล่าวว่า คณะกรรมการได้ประชุมร่วมกันพิจารณาข้อเท็จจริงตามข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีความเห็นว่า คำพิพากษาหลายฉบับ ทั้งจากศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลปกครองกลาง มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ และเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นที่ดินของการรถไฟที่มีไว้ใช้เพื่อราชการตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดิน และเจ้าหน้าที่กรมที่ดินในการดำเนินการตามคำพิพากษาดังกล่าว
นายไกรศรี กล่าวว่า สรุปผลการตรวจสอบหลักฐานโดยพิจารณาจากแผนที่ของการรถไฟ ปี พ.ศ. 2465 แสดงขอบเขตที่ดินของการรถไฟซึ่งได้จัดทำตามพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดิน ซึ่งการรถไฟใช้แผนที่นี้เป็นหลักฐานในชั้นศาล มีจุดประสงค์ในการเป็นทางรถไฟที่นำศิลามาทำทางรถไฟ ซึ่งเป็นหลักฐานที่ทางการรถไฟได้ใช้ในชั้นศาลมาโดยตลอด และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นของการรถไฟ และยืนยันขอบเขตจากแผนที่นี้ แต่เนื่องจากแผนที่ในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยในการวัด จึงยากต่อการถ่ายทอดให้เป็นปัจจุบัน
“ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 มีการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ และได้มีการถ่ายทอดแนวเขตการรถไฟให้เป็นปัจจุบัน ซึ่งศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ก็ใช้ขอบเขตดังกล่าวประกอบการวินิจฉัยด้วย หลังจากที่ศาลตัดสินแล้ว การรถไฟชนะคดีแล้วนำผลคำพิพากษาเสนอกรมที่ดินเพื่อเพิกถอนโฉนดรวมเกือบ 900 แปลง แต่กรมที่ดินยังเพิกเฉย ไม่ได้มีตั้งคณะกรรมการ ทำให้การรถไฟต้องฟ้องศาลปกครองอีกครั้ง ศาลปกครองจึงสั่งให้กรมที่ดินตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง และในปี พ.ศ. 2567 จึงมีการตั้งคณะกรรมการร่วมรังวัดกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้แผนที่ปี พ.ศ. 2465 เป็นฐานถ่ายทอดสู่แผนที่ปัจจุบันเมื่อซ้อนทับกับแผนที่ล่าสุดพบว่า ขอบเขตที่ดินการรถไฟตรงกับพื้นที่ที่ได้รับการรับรองเป็นที่ยุติแล้ว” นายไกรศรี กล่าว