หน้าแรก ภูมิภาค หัวอกคนเป็นแม่ต้องน้ำตาตก พาลูกชายย้ายโรงเรียน แต่เจอครูบังคับบริจาคเงินสร้างโดม

หัวอกคนเป็นแม่ต้องน้ำตาตก พาลูกชายย้ายโรงเรียน แต่เจอครูบังคับบริจาคเงินสร้างโดม

โลกโซเชียลมีเดียและเพจต่างๆทั่วทั้ง ขอนแก่น ได้เผยแพร่ภาพจากผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ “Ariya Kotalee” ซึ่งได้ โพสต์รายละเอียด การพาลูกชายไปเข้าโรงเรียน ในโรงเรียนเทศบาลวัดกลาง แต่ถูกครูเรียกรับเงินบริจาคสร้างโดมของโรงเรียน 2,000 บาท แต่แม่ยังไม่มีจ่าย ลูกชายจึงเข้าเรียนไม่ได้ ในเพจ “ขอนแก่น ร้องเรียนอะไรบอกไว้ที่นี่” พร้อมข้อความระบุว่า “โพสในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ว่า เป็นวันที่เสียใจมาก ร้องไห้ขับมอไซค์จะกลับมาตั้งหลักยุบ้านแต่หน้ารร.เทศบาลวัดกลาง ขับมาเรื่อยจนหมดแรงจะไปต่อเลยจอดรถตั้งสติข้างทาง ถ้าวินาทีนั้นลูกบ่นั่งมานำคงขับลงข้างทางให้มันตายไปสะ นั่งคิดทบทวนหลายอย่าง เลยเรียกลูกขึ้นรถขับต่อทั้งน้ำตาจนมาถึงบ้าน มันตันมันเหนื่อยมากคิดอะไรไม่ออกเลย  เข้มแข็งมาทั้งชีวิตดิ้นรนมาคนเดียวแต่วันนี้มันอ่อนแอที่สุดเลย
แต่ลูกปิดเทอมขอทำเรื่องย้าย รร.ให้ลูก หา รร.สมัครให้ลูกคือเลือกจะให้กลับเรียน รร.เดิมเพราะรถโดยสารผ่านสะดวกลูกที่ต้องนั่งรถไปกลับรร. ส่งเอกสารเทียวส่งอยู่5รอบ ที่รร.วัดกลางเพราะขาดใบรับรองผลการเรียน เลยติดต่อรร.ประจำที่ลูกเรียนเทอมแรก เพราะการย้ายเทอม2ทั้งที่ไม่จบภาคเรียนจะยุ่งยากนี่ก็เข้าใจ ติดต่อรร.ประจำรร.บอกขอลายเซ็น ผอ.รร.ที่ลูกจะย้ายไปเรียน กะได้เสียเวลาไปขอ บ่แม่นของ่ายเด้อ ช่วงครูรร.เขาปิด เทอมพอดีได้แล้วกะวิ่งกลับเอาลายเซ็นไปส่ง ขอใบรับรองผลการเรียนคือ นร.จะย้ายออกให้ก่อนกะบ่ ยืนยันคำเดียวจะแจ้งผลการเรียนพร้อมใบในวันเปิดภาคเรียนของรร.เท่านั้นคือวันที่3พย.วานนี้ ก็เลยไปเอาไปกะยุ่งยากต้องได้วิ่งตามรายเซ็นครูตั้ง10คนนักเรียนถึงจะย้ายออกได้ มื่อวานวันที่3ตรงกับวันอาทิตย์ก็วิ่งเอกสารทั้งวันจนได้ครบทุกลายเซ็น เอกสารบ่ครบอีกต้องให้ ผปค.กลับไปเอาเอกสารลายเซ็นกำนัน หรือผู้ใหญ่บ้านอีก วุ่นวายพายยับคัก เลยขอครูว่าจะส่งเอกสารกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทีหลังนี่ไม่ใช่ครูเสนอนะ กลายเป็น ผปค.เองเสนอไปให้ครูเห็นใจเพราะกลัวลูกไม่มีที่เรียน รร.เขาก็เปิดเทอมเรียนกันหมดแล้

พอได้ใบผลการเรียนลูกก็ดีใจชื่นใจมาว่าเอาไปยื่นรร.เทศบาลวัดกลางแล้วคงได้เรียนเลยเพราะ ผอ.รร.วัดกลางเซ็นยอมรับนักเรียนเข้าเรียนแล้ว เตรียมตัวเรียบร้อยเด้อลูกใส่ชุดนักเรียนเอาสมุดปากกาสะพายกระเป๋าไปพร้อม เพราะยื่นใบมอบตัวแล้วลูกจะได้ขึ้นห้องเรียนเลยนะ  ตื่นเช้าไปรอส่งใบรอผอ.แต่เช้าตามที่ผอ.แนะนำก่อนหน้า ถามครูที่รร.ก็ว่าเดี๋ยวผอ.ยังไม่มาแต่เดี๋ยวก็เข้ามา รนั่งรอ4ชม.เต็มค่อยมีครูอีกคนเดินมาขอตรวจเอกสารอีกรอบ แล้วสักพักก็มีครูอีกคนเรียกไปคุยในห้องสอบสัมภาษณ์  ถามว่าทำไมถึงย้ายมาโน่นนี่นั่นแต่ครูคนนี้ก็รู้จักลูกอยู่ครูก็ถามๆไปอบรมบอกสอนไป แล้วจบที่คำว่า #คุณแม่คะถ้าจะให้ลูกแม่เรียนแม่ต้องเสียเงินบริจาคให้โรงเรียนนะ
#แม่เลยตอบว่าค่ะต้องบริจาคเท่าไรเงินแม่ก็ไม่มีทำไมโรงเรียนก็ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าต้องได้เสีย (**อ๋อพอดีทางรร.จะสร้างโดมคะเลยเรียกขอบริจาค**) #คำว่าบริจาคเนาะก็จะแล้วแต่ศรัทธาตั้วในความคิดเราเองเงินหมดตัวก็มีแค่500 “**เลยบอกครูไปว่าแม่บริจาค300นะคะ**”#สีหน้าครูคือเปลี่ยนถอนหายใจเลยจ้าคือทำหน้าอึ้งพร้อมพูดว่าอะไรคะแม่คนอื่นเขาบริจาคอย่างต่ำ3,000ถึง5,000 “**แต่แม่300ไม่ได้นะคะ**”เราหน้าเสียเลยอึ้งไปพักเลยบอกครูว่าตอนนี้แม่ยังไม่มีเงินค่ะ งั้นแม่ขอบริจาค2,000บาทได้มั้ยแต่แม่ขอจ่ายวัน วันที่15พ.ย.เดือนนี้ได้มัั้ย.ครูก็บอกได้งั้นแม่เซ็นยืนยันนะ*ครูก็เขียนวันที่พร้อมจ่ายแล้วก็ให้แม่เซ็นชื่อยืนยันไปแล้ว*
ครูเดินเอาเอกสารไป แล้วกลับออกมาพูดว่าคุณแม่ไม่ได้นะคะต้องจ่ายวันนี้เท่านั้น #งั้นถ้าวันนี้แม่ไม่มีค่อยมาจ่ายวันที่15หรือวันไหนที่มีลูกแม่ค่อยเอาน้องมาเรียนพร้อมวันที่จ่ายค่ะ  เราจุกพูดอะไรไม่ออกเลยน้ำตาแตกในทันทีมองหน้าลูกก็สงสาร เลยบอกลูกป้ะออกัสลูกก็งงคิดว่าแม่เรียกจะได้ไปเรียนกับเพื่อนๆเเล้ว แต่พอแม่บอกว่ากลับบ้านครับ ลูกก็คำถามเลยว่าทำไม คือเด็กไม่เข้าใจอ่ะ ((ไม่ได้เสียดายเงิน2,000แต่ก่อนส่งลูกเรียนประถมค่าเทอมเกือบสองหมื่นยังมีปัญญา แต่ตอนนี้ไม่มีเงินแถมเรื่องบริจาคก็เพิ่งรู้นิมันไม่ได้เตรียมอะไรเลย รร.ก็ไม่สงสารเด็กอนุโลมไปก่อนให้ลูกได้เรียนไปก่อนถ้าวันที่15นี้แม่ไม่จ่ายจะไล่ออกเราจะยังไม่เสียใจ เสียความรู้สึกมากเลย))ขับรถเกือบไม่ถึงบ้าน มันเหนื่อยนะที่ทุ่มเทตั้งใจทำอะไรไว้สุดท้ายมันล้มเหลว ต้องเริ่มใหม่่อีก. ลูกก็ต้องรอเงินแม่มีถึงจะได้เรียน แม่ต้องพาลูกไปสมัครเรียนที่รร.อื่นใหม่ จะมี รร.ไหนรับมั้ย ลูกจะได้เรียนเทอม2 ม.2ทันเพื่อนมั้ย”

ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าว ได้ ติดต่อไปยัง น.ส.เอ(นามสมมุติ) มารดาของ ด.ช.บี (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี  ทราบว่า  เนื่องจากตนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำงาน หาเงินเลี้ยงลูกชายเพียงลำพัง ทำงานเป็นหางเครื่อง จึงทำงานไม่เป็นเวลา ลูกชายเคยเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้มาจนถึง ม.1 แต่ตนไม่มีเวลาดูแลลูก บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ จึงต้องการย้ายลูกไปอยู่โรงเรียนประจำ ที่มีครูดูแลในโรงเรียน ซึ่งที่ผ่านมาลูกชายเป็นนักเรียนที่เรียนดีมาตลอด ขณะเรียนที่โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง ได้เกรดเฉลี่ย 3.44 จากนั้นย้ายไปเรียน ม.1 ที่โรงเรียนประจำ จนถึงม.2 เทอมแรก ก็เรียนได้เกรดเฉลี่ย 3.66 ขณะนี้พอมีเงินซื้อบ้าน มีบ้านให้ลูกอยู่ จึงต้องการย้ายลูกมาเรียนที่โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง จึงเข้าไปพูดคุยกับผู้อำนวยการเรียน เพื่อพาลูกเข้ามาเรียน ม.2 ในเทอมที่ 2
ผอ.โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง บอกว่า ให้นำใบรับรองผลการเรียนจากโรงเรียนเดิมมาให้แล้วพาลูกมาเรียนได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ วันจันทร์ที่ 4 พ.ย จึงพาลูกไปที่โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง เพื่อนำส่งใบรับรองผลการเรียนให้ผอ.โรงเรียนน แต่ ผอ.ไม่อยู่ จึงนั่งรอประม่าณ 3-4 ชั่วโมง ก็ฌมีคุณครูมาแจ้งให้ไปนั่งรอที่ห้องพักใกล้ๆกับห้องธุรการ จากนั้นมีครูผู้ชายเข้ามาพูดคุยด้วย และว่า นำลูกมาเข้าเรียน ต้องบริจาคเงินช่วยโรงเรียน เพื่อสมทบสร้างโดมของโรงเรียนด้วย จึงแจ้งว่า มีเงินติดตัว 500 บาท จะขอบริจาค 300 บาท ครูผู้ชายแสดงสีหน้าที่ดูเหมือนไม้ประทับใจ พร้อมกับพูดว่า ผู้ปกครองนักเรียนรายอื่นๆบริจาคคนละ 3,000-5,000 บาท จึงได้บอกครูไปว่า ขอเวลาทำงานเก็บเงินก่อน ไม่เกินวันที่ 15 พ.ย น่าจะมีเงินมาบริจาคให้ 2,000 บาท ครูรายดังกล่าวจึงให้เซ็นเอกสารยืนยันการบริจาค พร้อมกับบอกว่า เมื่อมีเงินครบ 2,000 บาทมาบริจาค ค่อยพาลูกมาเข้าเรียน
“โดยส่วนตัวก็พอจะทราบว่า การบริจาคเงินช่วยสร้างสิ่งต่างๆในโรงเรียนนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่ผู้ปกครองนักเรียนยินดีที่จะร่วมสมทบในการก่อสร้าง แต่การสมทบหรือบริจาคก็ตามกำลังศรัทธา ไม่ใช่การบังคับเหมือนที่ตนเจอ ตนจึงอาการเครียด เพราะโรงเรียนเปิดเทอมมาแล้วประมาณ 2 สัปดาห์เกรงว่าลูกจะเรียนไม่ทันเพื่อน เมื่อพาลูกมาเรียนก็ไม่สามารถเข้าเรียนได้ เพราะไม่มีเงินบริจาค จึงได้พาลูกกลับบ้าน สงสารลูก สงสารตัวเองที่ไม่มีเงินบริจาค จนลูกไม่ได้เรียน เมื่อกลับถึงบ้านจึงตั้งสติ พาลูกไปสมัครเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ คือโรงเรียนเทศบาลสามเหลี่ยม ซึ่งทางผอ.และคณะครูก็รับลูกชายเข้าเรียนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และในวันที่ 6 พ.ย 2567 ลูกชายก็จะได้เข้าเรียนเป็นวันแรก

“โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง ได้เรียกไปพบและพูดคุยทำความเข้าใจกันที่โรงเรียน จึงเข้าไปคุยด้วย จากการพูดคุย ผอ.ยังยืนยันว่า สามารถนำลูกมาเข้าเรียนได้ ไม่มีปัญหาและไม่มีค่าใช่จ่าย  แต่ก็มีครูบางคน บอกว่า ถ้าให้ลูกชายเข้าเรียน ต้องบอกลูกชายให้รับแรงกดดันจากเพื่อนจากครูผู้สอนให้ได้ด้วย เพราะเกิดปัญหาแล้ว มันจะมีแรงกดดันตามมา  จึงตัดสินใจไม่ให้ลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง โดยพาลูกไปสมัครเรียนที่โรงเรียนเทศบาลสามเหลี่ยม  ทำให้ลูกชายมีที่เรียนเป็นที่เรียบร้อย อยากฝากถึงผู้บริหาร และผู้เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาว่า การที่โรงเรียนจกสร้างสิ่งใด รับบริจาคเงินมาทำอะไรนั้น ควรจะมีการแจ้งการประชาสัมพันธุ์ ให้ผู้ปกครองนักเรียนทราบด้วย ไม่ใช่มัดมือชกหรือบังคับบริจาคแบบที่ตนเจอ”
ขณะที่น้องบี อายุ13 ปี  (นามสมมุติ) กล่าวว่า อยู่ในเหตุการณ์ที่ครูพูดคุยกับแม่ตลอด จึงรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าเรียน เพราะตั้งใจไว้ว่า อยากเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เพราะเคยเรียนมาแล้ว แต่ไม่ได้เรียนเพราะไม่ได้บริจาคเงินตามที่ครูต้องการ กระทั่งแม่พาไปสมัครเรียนที่โรงเรียนอื่น และโรงเรียนก็รับเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะตั้งใจเรียนให้จบและจะเรียนต่อจนได้เป็นครูตามที่ฝันไว้
ในขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้พยายามประสานกับทางโรงเรียนและทางเทศบาลนครขอนแก่น เพื่อให้ชี้แจงในกรณีดังกล่าว แต่ได้รับแจ้งจากทางเทศบาลนครขอนแก่นว่า คณะผู้บริหารเทศบาลนครขอนแก่นและ  ผอ.โรงเรียนได้พูดคุยทำความเข้าใจกับผู้ปกครองแล้ว จึงไม่สะดวกจะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเพราะเกรงจะทำให้นักเรียนเสียหาย และอยู่ในระหว่างที่คณะผู้บริหารเทศบาลนครขอนแก่นกำลังหารือกันในการที่จะชี้แจงในกรณีดังกล่าว
ขณะเดียวกันมีคลิปการสนทนาระหว่างผู้ปกครองเด็ก ครู และ ผอ.โรงเรียน ได้พูดถึงเรื่องการปฏิเสธ ที่จะไม่รับเด็กเข้าเรียน พร้อมกับต่อว่าผู้ปกครองที่นำเรื่องราวทั้งหมดไปโพสต์ ในโลกโชเชียล ซึ่งมีบางช่วงบางตอน ได้มีการปฏิเสธถึงการรับเงินบริจาค พร้อมชี้แจงให้ผู้ปกครองฟังว่าการบริจาคเงินนั้น เป็นการสมัครใจของผู้ปกครองเอง ไม่มีการบังคับ โดยมีการยกตัวอย่าง ว่าเคยมีผู้ปกครองมาฝากลูกเข้าเรียนระหว่างปี  แล้วบริจาคเงินช่วยสร้างโดมของโรงเรียนด้วยความสมัครใจ ในราคาบริจาคไม่ถึง 3,000 – 4,000 บาท แล้วผู้ปกครองก็บอกทาง ผอ.โรงเรียน ไปว่า คุณครูให้มีการเซ็นชื่อด้วย ทาง ผอ.โรงเรียน ตอบกลับ จะเซ็นอะไรยังไงก็ช่าง อำนาจสูงสุด อยู่ที่ ผอ.โรงเรียน รับเด็กนักเรียนแล้วคือจบ และอยากขอให้ทางผู้ปกครองลบโพสต์ทั้งหมดออกจากโลกโซเชียล เพราะเสื่อมเสียไปทั้งหมดแล้ว