“หมอเลี้ยบ” ชี้เศรษฐกิจส่อโคม่า จีดีพีต่ำ 2% ประชาชนหนี้ท่วมหัว ต้องอัดฉีดเงินก้อนโต ฉะคนบิดเบือนตัวเลข ลั่นใครจะรับผิดชอบหากเกิดวิกฤต

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า “เศรษฐกิจไทยเหมือนคนไข้อ่อนแอ ที่เลือดกำลังไหลไม่หยุด”

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา นักวิชาการ 99 คนออกมาคัดค้านนโยบาย Digital Wallet โดยให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวและคาดว่า จีดีพีจะขยายตัว 2.8% ในปีนี้และ 3.5% ในปีหน้า จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องกระตุ้นการบริโภค เพราะการบริโภคภายในประเทศขยายตัวถึง 7.8% สูงที่สุดในรอบ 20 ปี อีกทั้งการกระตุ้นการใช้จ่ายจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นหลังจากลดลงมาจาก 6.1% เหลือ 2.9%

นักวิชาการเหล่านี้เป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยบ้าง อดีตรัฐมนตรีบ้าง อาจารย์มหาวิทยาลัยบ้าง ทุกคนจึงเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ท่านเหล่านั้นให้มาถูกต้อง เป็นเหตุให้น่าเชื่อว่า ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบาย Digital Wallet อีก

คำถามที่ผุดขึ้นมาในใจของผม คือตัวเลขของนักวิชาการ 99 คนกับตัวเลขของ ดร.ชาติชัย พาราสุข นักเศรษฐศาสตร์และคอลัมนิสต์อิสระของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ที่ผมติดตามอ่านเป็นประจำนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมควรจะเชื่อใครดี

ผมคิดว่า ตัวเลขก็คือตัวเลข ตัวเลขเศรษฐกิจย่อมฟ้องในตัวเองอยู่แล้ว ยกเว้นแต่ว่ามีใครตั้งใจปกปิดหรือดัดแปลงตัวเลขเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญ ซึ่งคนคนนั้นต้องรับผิดชอบหากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจากการปกปิดตัวเลขเหล่านั้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540

จากการอ่านหลายบทความของ ดร.ชาติชัย ผมสรุปเป็นความกังวลของผมต่อเศรษฐกิจไทยได้อย่างน้อย 3 ประการคือ

1.กังวลว่า จีดีพีในปี 2566 จะไม่สามารถเติบโต 2.8% (ตามที่นักวิชาการ 99 คนบอก) แต่จะเติบโตต่ำกว่า 2% (ดร.ชาติชัยคาดการณ์ว่า 1.8%)

2.กังวลว่า ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบ (Money supply growth) เพิ่มน้อยลงทุกเดือน จนทำให้สภาพคล่อง (Liquidity) ติดลบแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท ในเดือนสิงหาคม 2566 และจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง ถ้าเปรียบเศรษฐกิจเหมือนร่างกายคน สภาพคล่องก็เหมือนเลือดที่หล่อเลี้ยง ถ้าเสียเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายจะช็อค และต้องมีการให้เลือดด่วน

3.กังวลว่า “หนี้ท่วมหัว ประชาชนกำลังเอาตัวไม่รอด” – คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้เป็นหนี้เพราะกู้มาจับจ่ายใช้สอย แต่ในช่วงหลังตัวเลขการกู้ใหม่กลับลดลง เพราะไม่มีใครยอมปล่อยกู้ให้อีกแล้ว (แม้แต่เจ้าหนี้นอกระบบเอง) ถ้าเปรียบเหมือนคนป่วยไข้ ที่เคยหยิบยืมเงินเพื่อซื้ออาหารประทังชีวิตมาตลอด ตอนนี้ไม่มีใครยอมให้ยืมอีกแล้ว

ผมขอขยายความข้อกังวลทั้ง 3 ประการที่ได้จากตัวเลขซึ่ง ดร.ชาติชัย นำเสนอไว้ในบทความ ดังนี้ 1.จีดีพีในปี 2566 จะเติบโตต่ำกว่า 2% (น้อยกว่าที่นักวิชาการ 99 คนคาดการณ์ไว้อย่างน้อย 0.8%)

ปลายปีที่แล้ว สำนักงานเศรษฐกิจการคลังของกระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่า จีดีพีปี 2565 จะเติบโต 3.4% และจีดีพีปี 2566 จะเติบโต 3.8%

แต่ปรากฏว่า ในความเป็นจริง จีดีพีปี 2565 เติบโตเพียง 2.6% (น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 0.8%) ในขณะที่ปัจจุบัน สำนักงานเศรษฐกิจการคลังลดการคาดการณ์จีดีพีปี 2566 เหลือเติบโตเพียง 2.7% (น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อปลายปีที่แล้วถึง 1.1%) ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยก็คาดการณ์ว่า ปีนี้จีดีพีจะเติบโต 2.8%

แต่เมื่อย้อนดูข้อมูลการเติบโตของจีดีพีในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2566 พบว่า เติบโตเพียง 2.6% ในไตรมาสที่สองเติบโตเพียง 1.8% ส่วนไตรมาสที่สามซึ่งยังไม่มีการประกาศออกมา ดร.ชาติชัยคาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียง 1.4%

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จีดีพีรวมทั้งปี 2566 จะสามารถเติบโตถึง 2.8% ได้ ทำไม ดร.ชาติชัยถึงคาดการณ์ว่าจีดีพีในไตรมาสที่สามจะเติบโตเพียง 1.4% และจีดีพีปี 2566 จะเติบโตต่ำกว่า 2% (ตัวเลขที่ดร.ชาติชัยคาดการณ์คือ 1.8%)

2.ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบ (Money supply growth) เพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยลงทุกไตรมาส สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity) ลดลงจนกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง

Milton Friedman กูรูทางเศรษฐศาสตร์เคยเสนอวิธีการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินกับจีดีพีไว้ว่า ถ้ามีการเติบโตของปริมาณเงินสูง การเติบโตของจีดีพีก็จะสูงตาม แต่ถ้าการเติบโตของปริมาณเงินลดลง จีดีพีก็จะเติบโตน้อยลงด้วย

ในไตรมาสที่หนึ่งปี 2566 พบว่า ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น 3.3% จีดีพีเติบโต 2.6%
ในไตรมาสที่สอง ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 2.0% จีดีพีเติบโต 1.8%

เริ่มไตรมาสที่สาม

ในเดือนกรกฎาคม ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 1.6%
ในเดือนสิงหาคม ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 1.4%
ในเดือนกันยายน ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 1.8%

ดังนั้น ดร.ชาติชัยจึงคาดการณ์ว่าจีดีพีในไตรมาสที่สามน่าจะเติบโตเพียง 1.4%

สำหรับไตรมาสที่สี่ พบว่า เพียงสามสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม มีปริมาณเงินไหลออกนอกประเทศอีก 77,300 ล้านบาท

ดังนั้น จึงน่าสงสัยว่า จะมีการเติบโตของจีดีพีอย่างก้าวกระโดดในไตรมาสที่สี่จนทำให้จีดีพีรวมในปี 2566 เติบโตถึง 2.8% (อย่างที่นักวิชาการ 99 คนบอกไว้) ได้อย่างไร

ใช่หรือไม่ว่า ในท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกเช่นนี้ การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย จะทำได้ถูกต้องต่อเมื่ออยู่ในภาวะปกติที่ไม่มีเงินไหลออกนอกประเทศอย่างผิดปกติเท่านั้น

เศรษฐกิจของไทยเริ่มพบปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity) ติดลบมาตั้งแต่กลางปี 2566 ในเดือนพฤษภาคม 2566 สภาพคล่องทางการเงินติดลบ 715,600 ล้านบาท จนธนาคารต้องรอการคืนเงินจากลูกหนี้เก่า กว่าจะสามารถปล่อยกู้ใหม่ได้

ในเดือนกรกฎาคม สภาพคล่องทางการเงินติดลบ 858,000 ล้านบาท
ในเดือนสิงหาคม สภาพคล่องทางการเงินติดลบเกิน 1,000,000 ล้านบาท

สภาพคล่องทางการเงินติดลบเนื่องจาก 2 สาเหตุ คือ สาเหตุแรกคือ มีเงินไหลออกจากประเทศไทย สาเหตุที่สองคือ ธนาคารไม่ปล่อยเงินกู้

3.หนี้ท่วมหัว ประชาชนกำลังเอาตัวไม่รอด

บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือ เครดิตบูโร ให้ข้อมูลว่า หนี้ครัวเรือนซึ่งมีขนาด 90.6% ของจีดีพีนั้น ในจำนวนนี้มีอยู่ถึง 7.4% ของหนึ้ครัวเรือน เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไปแล้วตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2566

และหนี้ครัวเรือนอีก 480,000 ล้านบาทกำลังจะกลายเป็นเอ็นพีแอลในอีกสองสามเดือนข้างหน้า หรือหมายความว่า 11% ของหนี้ครัวเรือนจะเป็นเอ็นพีแอล มีตัวเลขที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกว่า ในปี 2565 หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 139,000 ล้านบาทต่อไตรมาส แต่ในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2566 หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเพียง 88,000 ล้านบาท และมีเพียง 1,100 ล้านบาทเท่านั้นที่เป็นหนี้ซึ่งกู้จากธนาคาร

ความหมายของตัวเลขข้างบนคือ เกิดการก่อหนี้ครัวเรือนลดน้อยลงเพราะผู้ต้องการเงินเริ่มไม่สามารถขอกู้หนี้ยืมสินได้อีกแล้ว และมีผู้สามารถกู้จากธนาคารได้เพียง 1.2% ของเงินกู้เท่านั้น ที่เหลือต้องกู้หนี้นอกระบบ ซึ่งตอนนี้เจ้าหนี้นอกระบบก็เริ่มไม่ปล่อยกู้แล้วเช่นกัน

สรุป ผมกังวลว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้จะไม่สามารถเอาตัวรอด และดำรงชีวิตเป็นปกติสุขอยู่ได้ โดยการบริหารประเทศด้วยแนวทางปกติ แบบเดิมๆ ที่ทำกันมา 9 ปีได้อีก

ผมกังวลว่า สภาพคล่องทางการเงินที่ติดลบมากขึ้น กำลังส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้นทุกที ถ้าไม่มีมาตรการเพิ่มปริมาณเงินด้วยการอัดฉีด “เงินใหม่” ก้อนโตเข้าหมุนเวียนในระบบ (ไม่ใช่แค่การเกลี่ยวงเงินงบประมาณเดิมที่เตรียมไว้อยู่แล้ว)

ผมกังวลว่า จีดีพีปี 2566 ที่อาจเติบโตต่ำกว่า 2% เป็นสัญญาณเตือนภัยวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังรออยู่ข้างหน้า ถ้าเรายังวางเฉย ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

ข้อกังวลทั้ง 3 ประการนี้ ผมควรกังวลต่อไปหรือไม่ วานผู้รู้ทั้งหลายช่วยบอกทีว่า ผมควรเชื่อตัวเลขของใคร – นักวิชาการ 99 คน หรือ ดร.ชาติชัย พาราสุข

และที่สำคัญซึ่งผมอยากย้ำอีกครั้งคือ คนที่ตั้งใจปกปิดหรือบิดเบือนตัวเลขทางเศรษฐกิจต้องรับผิดชอบ หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นแล้วสร้างความเสียหายต่อประชาชนและประเทศชาติ