
“149” กับ “157” เลขเด็ดที่ไม่มีใครอยากได้ ?
นับแต่คดีทุนจีนสีเทา,คดีเน็ตไอดอลไต้หวัน,คดีอดีตอธิบดีแห่งหนึ่งกับเงินสดมากมาย (ความจริงต้องนับแต่คดีผู้กำกับคลุมถุงดำ) มีการกล่าวอ้างถึง เลขเด็ด “157” กับ “149” เป็นจำนวนมากว่าแต่ว่า…..เลขเด็ด 149 และ 157 หมายความว่าอย่างไรมาดูหลักกฎหมายในเรื่องนี้กัน
มาตรา 157 “ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต…”
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรานี้สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
แต่ถ้าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัตินั้นไม่อยู่ในหน้าที่หรือแม้แต่จะอยู่ในหน้าที่ก็ตามแต่ถ้าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยหน้าที่และโดยสุจริตย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
ดังนั้นถ้า “มีหน้าที่” แต่ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบแล้วเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดก็จะเป็นการกระทำความผิดตามมาตรานี้
องค์ประกอบความผิดที่สำคัญของมาตรา 157 คือ จะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจ (“มีเจตนาพิเศษ”) คือ ต้องการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด (รวมถึงความเสียหายในทุกๆด้านโดยไม่จำกัดเฉพาะความเสียหายที่เป็นทรัพย์สินเท่านั้น เช่นความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเสียหายแก่เสรีภาพเป็นต้น)
ถ้าไม่มี “เจตนาพิเศษ” เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดแล้วก็อาจจะเป็นความผิดฐาน “บกพร่องต่อหน้าที่ราชการ”แต่ไม่ผิดตามมาตรา 157
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7630/2549 เจ้าพนักงานตำรวจไม่ยอมรับแจ้งความหรือคำร้องทุกข์อาจเป็นความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4436/2531 เมื่อจับคนร้ายได้แล้วกลับปล่อยตัวคนร้ายไปก็จะเป็นความผิดตามมาตรา 157 และ มาตรา 200 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2577/2534 “การที่เจ้าพนักงานประวิงการปฏิบัติหน้าที่ให้ดำเนินไปอย่างช้าหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มาติดต่อตามที่ควรจะเป็น และกระทำไปเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด”ถือว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549 “การใช้ดุลพินิจที่ไม่ได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบตามอำเภอใจโดยมีเจตนาให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นเป็นความผิดตามมาตรา 157 ได้ ”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2479 เจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมผู้กระทำความผิดฐาน “มีสุราผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง” ภายหลังจับกุมได้ไปทำร้ายร่างกายผู้ถูกจับกุมการทำร้ายร่างกายผู้ถูกจับนี้ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจขณะจับกุม เพราะเป็นทำร้ายหลังการจับกุมแล้วกรณีจึงไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157
(เจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดแต่ไม่มีหน้าที่ไปทำร้ายร่างกายผู้ถูกจับกุมดังนั้นการไปทำร้ายร่างกายผู้ถูกจับจึงไม่ใช่การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แม้จะโดยมิชอบหรือโดยทุจริตก็ไม่ผิดตามมาตรา 157 แต่อาจจะเป็นความผิดฐานอื่นได้เช่นทำร้ายร่างกายผู้อื่นเว้นแต่ว่าจะมีการต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงาน)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1399/2508 แต่ถ้าเป็น “พนักงานสอบสวน” (มีหน้าที่สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน) ในระหว่างสอบสวนกลับไปทำร้ายผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพเช่นนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ (การสอบสวน) โดยมิชอบและเมื่อเกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหาย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 157 นี้
2.2 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
คำว่า “โดยทุจริต” หมายถึงการใช้อำนาจในหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นจากการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นและที่สำคัญคือ “ต้องมีหน้าที่” คือการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัตินั้นต้องอยู่ในหน้าที่
ดังนั้นหากไม่อยู่ในหน้าที่หรือแม้แต่จะอยู่ในหน้าที่ก็ตามแต่ถ้าได้ทำโดยชอบและโดยสุจริตแล้วก็อาจจะไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2503 เจ้าพนักงานเทศบาลมีหน้าที่เก็บเงินแต่ได้ลักเอาใบเสร็จเก็บค่ากระแสไฟฟ้าซึ่งอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่อีกผู้หนึ่งไปเพื่อไปเรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าแล้วเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1677/2525 นายตำรวจจับคนนำพลอยหนีภาษีแต่ไม่นำส่งดำเนินคดีแต่กลับยึดเอา “พลอย” ของกลางเอาไว้เสียเองเช่นนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ “โดยทุจริต”
การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตกับ การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมีลักษณะล้ายคลึงกันแต่มีข้อแตกต่างคือ
การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น จะต้องเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดแต่ถ้าการกระทำนั้นไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลยก็จะไม่เป็นความผิดตามมารา 157
ส่วนการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตนั้นไม่ต้องคำนึงว่าการกระทำนั้นจะมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้อื่นเกิดความเสียหายหรือไม่ดังนั้นแม้จะยังไม่เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลยแต่ถ้าได้กระทำโดยทุจริตแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบแล้วก็อาจเป็นการกระทำความผิดได้
เจ้าพนักงาน คือใคร…?
“เจ้าพนักงาน” หมายความถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2490 ได้วางหลักกฎหมาย “เจ้าพนักงาน” หมายถึง
1.ต้องมีการแต่งตั้ง และ
2.เป็นการแต่งตั้งให้ปฏิบัติราชการ (ไม่ว่าจะเป็นประจำหรือชั่วคราวและไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม)
ดังนั้น ถ้าไม่มี “การแต่งตั้ง”แม้จะได้ “ปฏิบัติราชการ” ก็ไม่เป็นเจ้าพนักงาน (เพราะไม่ได้รับการแต่งตั้ง) หากจะเอาผิดก็ต้องมีกฎหมายบัญญัติขึ้นโดยเฉพาะหรือแม้จะมี “การแต่งตั้ง” หรือ “มอบหมาย” ให้มีหน้าที่โดยเฉพาะ แต่มิได้ “แต่งตั้งให้ปฏิบัติราชการ”ก็จะไม่เป็นเจ้าพนักงานเช่นกัน ตัวอย่างเช่นราษฎรแม้จะไปช่วยจับคนร้าย ซึ่งเป็นงานของทางราชการก็ตามแต่ราษฎรผู้นั้นก็ไม่มีฐานะ เป็นเจ้าพนักงานการที่นายอำเภอตั้งราษฎรให้ช่วยคุมตัวผู้ต้องหาก็ไม่ทำให้ราษฎรผู้นั้นมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานและมีอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหานั้นไม่ดังนั้น การที่ราษฎรผู้นั้นปล่อยตัวผู้ต้องหาไปจึงไม่เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปล่อยผู้ต้องคุมขังให้หลบหนีไป (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2474)
หรือแม้แต่ในกรณีผู้ปฏิบัติงานในองค์กรของรัฐหรือ รัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค,การประปา ฯลฯ ที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็น “เจ้าพนักงาน” แต่ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ก็ไม่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน เพราะไม่มีการแต่งตั้งให้ให้เป็นเจ้าพนักงาน (ขาดองค์ประกอบที่ 1) ดังนั้นหากจะให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานจะต้องมีกฎหมาย (พระราชบัญญัติว่าด้วยความรับผิดของพนักงานในองค์กรของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502) บัญญัติให้ชัดแจ้ง
มีข้อสังเกต – แม้จะมีการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่ถูกให้ไปทำงานอื่นนอกเหนือจากงานในหน้าที่ราชการของตนก็ไม่มีฐานะเป็น “เจ้าพนักงาน” เช่น ให้ข้าราชการครูไปทำงาน “คุรุสภา” ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ราชการ (ครู) ก็ไม่มีฐานะเป็น “เจ้าพนักงาน”
ความผิดฐาน “เจ้าพนักงานเรียกรับสินบน”ตามมาตรา 149
มาตรา 149 “ผู้ใดเป็น “เจ้าพนักงาน” สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐสมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาลเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีหรือจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาทหรือประหารชีวิต”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 238-244/2489 ปลัดอำเภอประจำตำบลรับผ้าไว้เป็นสินน้ำใจ (ถือว่ารับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด)โดย (เพื่อกระทำการ)ไม่จับกุมผู้กระทำผิดฐานมีผ้าผิดบัญชีที่แจ้งปริมาณไว้จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 149
พฤติการณ์ที่ถือว่า “เรียกทรัพย์สิน” แล้วแม้จะยังไม่กำหนดจำนวนเงินก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2531 จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดได้จับกุมผู้กระทำผิดฐานเล่นการพนันสลากกินรวบพร้อมของกลางแล้วไม่นำส่งสถานีตำรวจทันทีกลับพาไปที่ป้ายรถโดยสารประจำทางในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลและความจำเป็นและให้ผู้ถูกจับกุมโทรศัพท์ติดต่อกับบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มาตกลงกันที่ป้ายรถโดยสารประจำทางและรออยู่เป็นเวลานานเมื่อพาผู้ถูกจับไปสถานีตำรวจจำเลยเข้าไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นไม่มอบบันทึกการจับกุมและของกลางให้ทั้งไม่นำตัวผู้ต้องหาเข้าไปด้วยแสดงว่าเป็นเพียงแผนการของจำเลยให้ผู้ต้องหากลัวและหาทางตกลงกับจำเลยจำเลยไม่มีเจตนาที่จะมอบผู้ต้องหาให้แก่พนักงานสอบสวนจริงจังพฤติการณ์ของจำเลยถือได้ว่าเป็นการ “เรียกทรัพย์สิน” จากผู้ต้องหาแล้วเพียงแต่ยังไม่ได้กำหนดจำนวนเงินและฝ่ายผู้ต้องหายังไม่ได้ตอบตกลงเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกสินบนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149
แต่ถ้าไม่มีการ “เรียกรับสินบน” เลยก็ไม่ผิดตามมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3677/2525 จำเลยรับราชการเป็นตำรวจซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายย่อมเป็น “เจ้าพนักงาน” แม้จำเลยจะรับราชการประจำกองกำกับการตำรวจม้ามีหน้าที่ในการถวายอารักขาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรอบเขตพระราชฐานก็เป็นเพียงหน้าที่เฉพาะตามคำสั่งแต่งตั้งของทางราชการแต่โดยทั่วไปจำเลยยังมีอำนาจสืบสวนคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 17 ดังนั้นการที่จำเลยจับกุมโจทก์ร่วมกล่าวหาว่ามี “พลอย” หนีภาษีและยึด “พลอย” ของกลางเอาไว้จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมายเมื่อจำเลยจับกุมโจทก์ร่วมและยึดพลอยของกลางไว้แล้วแต่กลับปล่อยโจทก์ร่วมไปโดยไม่นำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายย่อมเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ “โดยทุจริต” (ยึดเอาพลอยของกลางไป) อันเป็นความผิดตามมาตรา 157
หมายเหตุ – คดีนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดหากแต่ใช้อำนาจยึดเอาพลอยของกลางไปจากโจทก์ร่วมโดยทุจริตการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกสินบนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 (แต่ผิดตามมาตรา 157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตดังกล่าว)
เจตนาเรียกรับ “เงินส่วนเกิน” จากเงินที่ผู้เสียหายต้องจ่ายตามกฎหมายก็ผิดมาตรานี้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1532/2543 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับคำขอต่าง ๆ เกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินทุกประเภทรวมทั้งงานในด้านเกี่ยวกับการเงินและบัญชีโดยมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องการกรอกข้อความในเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินและนำเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทั้งได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวมาก่อนเกิดเหตุนานประมาณ 7 ปี จำเลยย่อมทราบและคำนวณค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนที่ดินในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบเป็นอย่างดีการที่จำเลย “เรียกหรือรับเงิน” จำนวน 7,800 บาทไว้แล้วนิ่งเฉยเสีย แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนา “เรียกหรือรับเอา” เงินส่วนที่เกินไว้สำหรับตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทำการในตำแหน่งจึงเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 149
จำเลยพร้อมที่จะเสนอเรื่องราวขอจดทะเบียนขายที่ดินระหว่าง น. กับ ส.ต่อเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินเพื่อดำเนินการต่อไปตามอำนาจหน้าที่แต่จำเลยกลับละเว้นไม่ดำเนินการนับแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมาดังนั้นในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อ.มาตรา 157 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน “เรียกรับหรือยอมจะรับ” ทรัพย์สินสำหรับตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งตาม ป.อ.มาตรา 149 เมื่อปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 149 อันเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่จำต้องปรับบทลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปอีก
เมื่อเปรียบเทียบอัตราโทษระหว่าง มาตรา 149 (บทเฉพาะ) และมาตรา 157 (บททั่วไป) :
มาตรา 157 (บททั่วไป) “จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี” หรือ “ปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
มาตรา 149 (บทเฉพาะ) “จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี” หรือ “จำคุกตลอดชีวิต” และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือ ประหารชีวิต”
จะเห็นได้ว่ามาตรา 149 (บทเฉพาะ) มีอัตราโทษที่หนักกว่ามาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2551 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดอาญาได้พบเห็น ส.กับพวกเล่นการพนันชนไก่อันเป็นความผิดอาญาจำเลยมีหน้าที่ต้องทำการจับกุมผู้กระทำความผิดแต่กลับไม่ทำการจับกุมและเรียกรับเงินจำนวน 1,500 บาทจาก ส.เพื่อจะไม่จับกุมตามหน้าที่การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 149 (เรียกเงินเพื่อไม่จับกุม)
แต่ถ้าเป็นเรื่อง “นอกหน้าที่หรือนอกตำแหน่ง” แล้วก็จะไม่เป็นความผิดตามมาตรา 149
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2536 จำเลยเป็นข้าราชการตำแหน่งสหกรณ์อำเภอสังกัดกรมส่งเสริมสหกรณ์คณะกรรมการสหกรณ์การเกษตร ส.จำกัด แต่งตั้งจำเลยเป็นกรรมการออกข้อสอบและตรวจข้อสอบเพื่อรับบรรจุพนักงานเมื่อสหกรณ์ดังกล่าวเป็นนิติบุคคลต่างหากไม่ใช่หน่วยงานในกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบโดยตรง ทั้งมติคณะกรรมการสหกรณ์ดังกล่าวก็ไม่มีระเบียบของทางราชการว่าให้ทำได้และจำเลยจะต้องปฏิบัติตาม และการเป็น “กรรมการสอบ” ก็ไม่ใช่งานในหน้าที่รับผิดชอบของจำเลย การเป็น “กรรมการสอบ” ของจำเลยจึงไม่ใช่ “เจ้าพนักงาน” กระทำการในตำแหน่งของจำเลยจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินโดยมิชอบหรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 แต่อย่างใด
“เจ้าพนักงานเรียกสินบน” ตามมาตรา 149 ไม่จำเป็นต้องเรียกรับสินบนจากผู้กระทำผิดเท่านั้น แม้จะเรียกจาก “บุคคลอื่น” ก็มีความผิดเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1338/2538 การที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมคนร้ายเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย “ในคดีที่สามีผู้เสียหายถูกคนร้ายฆ่าและชิงทรัพย์ (แม้จำแลยจะไม่ได้เรียกเงินจากคนร้ายหากแต่เรียกเอาเงินจากฝ่ายผู้เสียหายก็ตาม) ถือได้ว่าเป็นการเรียกรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทำการในตำแหน่งหน้าที่จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149
ความแตกต่างระหว่างความผิดตามมาตรา 148 “เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ” กับความผิดตามมาตรา 149 “เจ้าพนักงานเรียกสินบน”คือ
1.มาตรา 148 เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบนั้นเจ้าพนักงานมีเจตนามาตั้งแต่แรกที่จะกระทำการทุจริตโดยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เช่นผู้อื่นไม่ได้กระทำผิดหรือไม่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นเลยแต่เจ้าพนักงานกลับไปแจ้งแกล้งกล่าวหาว่า เขาทำผิดแล้วไปเรียกร้องให้ผู้นั้นมอบเงินหรือทรัพย์สินให้เพื่อไม่ให้จับกุมหรือแกล้งจับกุมแล้วเรียกเอาทรัพย์สินเพื่อปล่อยตัวไป
2. ส่วนมาตรา 149 เจ้าพนักงานเรียกสินบนเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานเริ่มต้นใช้อำนาจในตำแหน่งของตนโดยชอบแล้วต่อมาเกิดกลับทุจริตในภายหลังเช่น ผู้ถูกจับได้กระทำความผิดจริงและเจ้าพนักงานได้จับกุมตามอำนาจหน้าที่แล้วเรียกหรือรับทรัพย์สินแล้วปล่อยตัวไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2510 “ตรวจค้น” ผู้มิได้กระทำความผิดแล้วเรียกเอาทรัพย์โดยขู่ว่า “จะจับ” เป็นความผิดตามมาตรา 149 (จพง.เรียกรับ ยอมจะรับสินบน)
มาตรา 148 “เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ”
มาตรา 148 บัญญัติว่าผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบหรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น
คำพิพากษาฎีกาที่ 2573/2553 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามขู่ให้โจทก์ร่วมนำเงินมามอบให้โดยอ้างว่าเพื่อลบชื่อโจทก์ร่วมออกจากบัญชีผู้ค้ายาเสพติดของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและเพื่อที่จะไม่จับกุมโจทก์ร่วมจึงเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา 148 ฐาน “เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจและจูงใจเพื่อให้โจทก์ร่วมมอบให้ซึ่งทรัพย์สินแก่ตนเอง”
คำพิพากษาฎีกาที่ 599/2505 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ลงโทษเจ้าพนักงานผู้เรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินโดยมิชอบเพื่อกระทำการในตำแหน่งของตนแต่การที่จำเลยแกล้งจับผู้เสียหายมาแล้วขู่เอาเงินจึงเป็นความผิดตามมาตรา 148 (ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ) ไม่ใช่ตามมาตรา 149 (จพง.เรียก รับ ยอมจะรับ)
มาตรา 157 เป็นบททั่วไปที่บัญญัติไว้อย่างกว้าง แต่เมื่อการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทที่บัญญัติเป็นความผิดไว้โดยเฉพาะเช่นมาตรา148 หรือมาตรา149 แล้วย่อมไม่ผิดตามมาตรา 157 อีก
คำพิพากษาฎีกาที่ 1084/2536 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานยศสิบตำรวจเอกได้พูดกับโจทก์ร่วมว่า “ร้านของโจทก์ร่วมเป็นเจ้ามือหวยเถื่อน อย่างนี้ต้องมีผลประโยชน์และให้เอาเงินใส่ซองมาให้บ้างถ้าไม่ให้จะตาม สวป. (สารวัตรปกครองป้องกัน) มาดำเนินการจับกุม “เมื่อโจทก์ร่วมไม่ให้เงินแก่จำเลยจำเลยได้ไปแจ้งเหตุต่อสารวัตรปกครองป้องกันว่าพวกในตลาดกำลังเล่นการพนันสลากกินรวบขอให้ไปทำการจับกุมตามที่จำเลยขู่โจทก์ร่วมแต่ปรากฏว่าไม่มีการเล่นแต่อย่างใดถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาจูงใจเพื่อให้โจทก์ร่วมจ่ายเงินให้โดยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148
คำพิพากษาฎีกาที่ 1749/2545 พฤติการณ์ที่จำเลยจับกุมผู้เสียหายในข้อหาลักทรัพย์ของ ส.แล้วให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมจากนั้นนำผู้เสียหายไปควบคุมไว้ที่สถานีตำรวจประมาณ 30 นาทีจึงเรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายเพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัวไม่ดำเนินคดีโดยนำผู้เสียหายออกมาโทรศัพท์หา ก.ภริยาผู้เสียหายต่อมาเมื่อจำเลยได้รับเงิน3,000 บาท จากผู้เสียหายแล้วจึงปล่อยผู้เสียหายไปนั้นจำเลยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกสินบนตามมาตรา 149
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกแม้ว่าการกระทำของจำเลยจะเข้าหลักเกณฑ์อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 157 ด้วยก็ตาม
มาถึงบรรทัดนี้หวังว่าผู้อ่านคงจะได้รู้จักเลขเด็ด 157,148,149 และหากเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าพนักงานมาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต (มาตรา 157) หรือเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบหรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น (มาตรา 148) หรือเป็น “เจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ (มาตรา 149) ท่านจะได้มี “ภูมิคุ้มกัน” และจะได้ดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานซึ่งได้มากระทำความผิดแก่ท่านได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามกฎหมาย
เมื่อการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเป็นความผิดไม่ว่าจะเป็นความผิดมาตรา 148 หรือ มาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก (แม้ว่าการกระทำของจำเลยอาจจะเข้าหลักเกณฑ์อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 157 ด้วยก็ตาม)
การเร่งรีบดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานผู้กระทำผิดตามบททั่วไป (มาตรา 157) โดยละเลยหรือล่าช้าไม่ดำเนินการตามพฤติการณ์และการกระทำความผิดของเจ้าพนักงานซึ่งอาจเป็นความผิดตามบทเฉพาะ เช่นมาตรา 148,มาตรา 149 ซึ่งมีอัตราโทษหนักกว่าย่อมเป็นการดำเนินคดีที่ยังไม่ถูกต้องและครบถ้วนตามพฤติการณ์และการกระทำผิดของผู้ต้องหาและตามกฎหมาย
คงจะไม่มีใครที่อยากจะได้เลขเด็ด 157,148 หรือ 149 เป็นแน่แท้ท่านว่าจริงม๊ะ
อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน (คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร