“กอบศักดิ์” ชี้นักลงทุนทั่วโลกหลั่งไหลไปเวียดนาม หลังรัฐบาลเวียดนามส่งระดับรองนายกรัฐมนตรีไปเจรจาด้วยตัวเอง เพื่อดึงอุตสาหกรรมที่ต้องการให้เข้ามาลงทุนเวียดนาม หวั่นอีก 5 ปีจะแซงไทย ชี้ไทยมีข้อได้เปรียบดีกว่าหลายเรื่อง แต่ต้องเร่งออกมาตรการฟาสต์แทร็กดึงดูดการลงทุนสู้
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ ทำให้มีการย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศที่มีความปลอดภัยโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป้าหมายของนักลงทุนทั่วโลกในตอนนี้สนใจไทยและเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม พบว่ามาตรการดึงดูดการลงทุนของเวียดนามมีความน่าสนใจกว่าไทย ทำให้นักลงทุนจากเกาหลีใต้แห่ไปลงทุนในเวียดนาม ส่วนหนึ่ง เพราะเกาหลีใต้มองไทยใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมากกว่า และญี่ปุ่นคือคู่แข่งของเกาหลีใต้ และด้วยเหตุผลนี้ทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้าเวียดนามจะกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทย เพราะขณะนี้เวียดนามมีการขยายโครงสร้างพื้นฐาน จากการที่มีการย้ายฐานการลงทุนของต่างชาติเข้ามา มีการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเติม มีการลงทุนทำอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและขยายท่าเรือ
“ที่สำคัญรัฐบาลของเวียดนามมีการดึงดูดการลงทุนแบบจริงจัง เห็นได้จากเวลาที่รัฐบาลต้องการอยากได้บริษัทใดเข้ามาลงทุน เขาจะส่งระดับรองนายกรัฐมนตรีไปหารือกับนักลงทุนในแต่ละประเทศโดยตรง”
ฉะนั้น ในปี 2566 ประเทศไทยรัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบฟาสต์แทร็ก เพื่อดึงการย้ายฐานการลงทุนเข้าไทย พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ว่าไทยมีการออกวีซ่า LTR หรือ Long-Term Resident Visa ให้กับนักลงทุนและครอบครัว ให้พำนักในไทยได้ถึง 10 ปี สามารถเข้า-ออกไทยได้หลายครั้ง และชำระภาษีบุคคลธรรมดาเพียง 17% นับเป็นอัตราภาษีที่ต่ำกว่าการไปประกอบอาชีพในประเทศอื่น
“ประเทศไทยยังมีข้อดีกว่าเวียดนามหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่า และมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี นับเป็น พื้นที่ที่ดีกว่า ขณะที่ภูมิรัฐศาสตร์หรือสถานที่ตั้งของประเทศไทยมีความได้เปรียบจากที่มีทางออกสู่ทะเลสองด้านทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน”
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ในอนาคตไทยจะมีการค้า และการลงทุนจากเอเชียใต้มากขึ้นทั้งอินเดีย บังกลาเทศ ถ้าหากมีการขยายท่าเรือฝั่งอันดามันของจังหวัดระนองให้ใหญ่ขึ้น จะเป็นการทดสอบแนวคิดในการส่งสินค้าของไทยไปยังอินเดียและบังกลาเทศ และเมื่อนำไปประกบกับแผนของรัฐบาลที่จะให้มีการเชื่อมสองฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน เพื่อเชื่อมต่อมายังท่าเรือแหลมฉบัง จะยิ่งรองรับสินค้าจากจีนฝั่งตะวันตกที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล จะสามารถส่งสินค้าผ่านทางจังหวัดเชียงรายลงมาได้ สินค้าจากจีนก็จะหลั่งไหลผ่านไทยหรืออาจมาลงที่ท่าเรือแหลมฉบัง และมาส่งผ่านจังหวัดระนองก่อนไปประเทศอื่นๆก็ได้
“ผมเห็นชาวบังกลาเทศซื้อส้มโอจากไทยลูกละ 2,000 บาท และเป็นประเทศที่มีประชากร 160 ล้านคนถือเป็นตลาดใหญ่ เป็นประเทศที่ไม่ถูกกับอินเดีย พม่า จึงอยากเป็นเพื่อนกับไทย หากเรานำ 160 ล้านคนมาเชื่อมกับไทยผ่านจังหวัดระนองได้ เท่ากับเป็นการติดลมใต้ปีกให้ตัวเอง จะช่วยส่งเสริมสินค้าเมดอินไทยแลนด์ จะทำให้ไทยมีแต้มต่อมากขึ้น และยิ่งนำไปรวมกับตลาด CLMV จะทำให้ไทยมีตลาดขนาด 400 ล้านคนที่สามารถเชื่อมต่อกันในระยะทางไม่ไกล ยิ่งถ้ามีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินจะทำให้กลุ่ม CLMV เดินมาไทยได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง แบบนี้อย่างไรซะเวียดนามก็สู้ไม่ได้”.