ผบ.ตร. แถลงจับยานรก2 เครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ ได้ของกลางยาบ้า จำนวน 11.6 ล้านเม็ด และคีตามีน 50 กิโลกรัม ไอซ์ 2 กิโลกรัม และยึดทรัพย์ได้ 1.5 ล้านบาท
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 12 ต.ค. 2565 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.ศูนย์สกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด (บก.สกส.) พร้อมเข้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส. แถลงผลการจับกุม 2 เครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ ได้ของกลางยาบ้า จำนวน 11.6 ล้านเม็ด และคีตามีน 50 กิโลกรัม ไอซ์ 2 กิโลกรัม และยึดทรัพย์ได้ 1.5 ล้านบาท
โดยคดีแรก จับกุมนายตนุภัทร กับนายสืบศักดิ์ ชาวม้ง ขณะกำลังลักลอบลำเลียงยาบ้าส่งให้ลูกค้าในจังหวัดสระบุรี โดยจับกุมได้บริเวณริมถนน สายสิงห์บุรี-ลพบุรี จากการตรวจสอบพบยาบ้าจำนวน 6,500,000 เม็ด ห่อหุ้มด้วยกระดาษสีขาว ซุกซ่อนอยู่ในห้องโดยสาร และยังพบ คีตามีน 50 กิโลกรัม บรรจุอยู่ในห่อชาเขียว และเงิดสดจำนวน 51,000 บาท
จากการสอบถามผู้ต้องหาสารภาพ ว่ามีอาชีพขับรถขนส่งผัก ผลไม้ และหารายได้พิเศษด้วยการรับจ้างขนยาเสพติดจากจังหวัดเชียงรายไปส่งให้ลูกค้าที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ได้ค่าจ้างครั้งละ 2 แสนบาท โดยการขนส่งใช้รถยนต์สำรวจเส้นทาง 2 คัน เพื่อตรวจสอบเส้นทางเพื่อหลบเลี่ยงการจับกุม ซึ่งจะใช้เส้นทางรองในการขนยาเสพติด
แต่ในขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมรถสำรวจเส้นทางได้หลบหนีไป ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา พบ 1 คน เคยต้องโทษคดีฆ่าบุพการีอีกด้วย เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา มียาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และ มียาเสพติดประเภท 2 (คีตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจะทำการขยายผลเพื่อติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการและผู้ที่ยังหลบหนีต่อไป
ส่วนคดีที่ 2 จับกุมนายเล่ง พร้อมของกลาง เป็นยาบ้า 5,184,000 เม็ด หุ้มด้วยกระดาษสีขาวที่ประทับตรา ๙๙๙ บรรจุใส่ห่อรวมกันกว่า 2 พันมัด และยังพบ ไอซ์ 2 กิโลกรัม บรรจุใส่ในหอชาเขียวเพื่อตบตา โดยของกลางทั้งหมดผู้ต้องหาบรรทุกไว้หบังรถกระบะ และยังพบเงินสด 8 พันบาท
นายเล่ง สารภาพว่า ร่วมกับเพื่อนลำเลียงยาเสพติดมาส่งขายในพื้นที่กรุงเทพมหานครและใกล้เคียง โดยมีพฤติการณ์คล้ายกับคดีแรก คือจะมีรถยนต์สำรวจเส้นทางคอยตรวจสอบก่อน 1 คัน แต่ในครั้งนี้ ตำรวจสามารถจับกุมได้ทั้ง 2 คัน เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ภาพรวมการกวาดล้างยาเสพติดในปี 2565 จนถึงปัจจุบัน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถยึดบาบ้า ได้มากกว่า 540 ล้านเม็ด , ไอซ์ กว่า 13,000 กิโลกรัม , เฮโรอีน เกือบ 800 กิโลกรัม และ คีตามีน กว่า 1,600 กิโลกรัม ยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดได้ว่า 7,000 ล้านบาท
ท่านนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้มีการตรวจค้นจับกุมให้เข้มงวดกว่าเดิม ซึ่งทางตำรวจจะเพิ่มมาตรการในการเข้าถึงชาวบ้านพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ยาเสพติด กวาดล้างรายย่อยพร้อมขยายผลจากผู้เสพให้มากยิ่งขึ้น เพื่อขยายไปถึงต้นตอรายใหญ่ โดยจะขยายผลให้ได้มากที่สุด
ส่วนที่ตำรวจมีพฤติกรรมเสพยา จะเร่งการสุ่มตรวจหาสารเสพติดให้มากขึ้นสำหรับตำรวจที่มีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวยาเสพติด ซึ่งโดยปกติมีการสุ่มตรวจทุก 3-6 เดือน และเพิ่มความการตรวจให้ถี่มากขึ้น รวมถึงการคาดโทษผู้บังคับบัญชาหากลูกน้องไปยุ่งกับยาเสพติด ก็จะถือว่าปล่อยปละละเลยผู้ใต้บังคับบัญชา
ส่วนการรับข้าราชการตำรวจ จะมีการตรวจสอบประวัติให้ลึกลงไปอีก นอกจากประวัติอาชญากร และปฏิเสธว่าการดำเนินการต่างๆไม่ได้เป็น วัวหายล้อมคอก แต่ยอมรับว่าต้องนำบทเรียนที่เกิดขึ้นมาถอดทบเรียนและทบทวนเพื่อแก้ไขต่อไป
สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาอาวุธปืน ในที่ประชุมร่วมฯ มีแนวคิดในการจัดทำฐานข้อมูล การครอบครองอาวุธปืน โดยเฉพาะปืนที่ผิดกฎหมายและไม่มีทะเบียน และเตรียมเสนอให้ผู้ที่ครอบครองปืนผิดกฎหมายนำอาวุธปืนมาคืนโดยอยู่ระหว่างการศึกษาข้อกฎหมายในรายละเอียดต่อไป
กรณีผู้ที่ครอบครองอาวุธปืนที่ถูกกฎหมาย ทั้งในส่วนของข้าราชการและอดีตข้าราชการ รวมทั้งบุคคลทั่วไป สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมประสานข้อมูลกับกระทรวงมหาดไทย ในการจัดทำฐานข้อมูลนี้ โดยเฉพาะผู้ที่มีความประพฤติไม่เหมาะสม หรือ อดีตข้าราชการ ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว อาจมีการทบทวนเรื่องการเพิกถอนใบครอบครองอาวุธปืน
ซึ่งในรายละเอียดเกี่ยวกับข้อกฎหมายอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน และกรณีอาวุธปืนจำนวน 7 กระบอกหายจากคลังเก็บอาวุธของ สภ.ราชกรูด จังหวัดระนอง ต่อมา รอง ผบช.ภ.8 มีคำสั่งให้นายดาบตำรวจ ธปณัฐ จันทร์ทับ ผบ.หมู่.งานสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรราชกรูด จังหวัดระนอง ออกจากราชการไว้ก่อน
ถือเป็นมาตรการที่ทางหัวหน้าสถานี ตรวจสอบพบเจอสิ่งผิดปกติ จนนำไปสู่การสืบสวนขยายผลและสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาออกจากราชการ ทั้งนี้ ได้รับรายงานว่า ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม