“พิพัฒน์” หวังท่องเที่ยวไทยจะเป็นตัวช่วยแก้ปัญหา PERFECT STORM หรือพายุเศรษฐกิจลูกใหญ่สมบูรณ์แบบที่เกิดขึ้นในรอบ 100 ปีในโลก หวัง “สี จิ้นผิง” มาไทยในการ ประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก 2022 เดือน พ.ย.นี้ จะคลายล็อกอนุญาต ให้ชาวจีนเที่ยวไทยปลายปีนี้ ดันยอดทัวริสต์ต่างชาติปีนี้เกินเป้า 10 ล้านคน เป็น 12 ล้านคน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา(ททท.) กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ถือเป็นคลื่นพายุเศรษฐกิจที่มีความรุนแรงมาก เชื่อว่าโอกาสที่จะเจอพายุแบบนี้มีเพียง 100 ปี เกิดขึ้น 1 ครั้งเท่านั้น คาดหวังว่าเราจะไม่ต้องเจอพายุแบบนี้อีกแล้วในช่วงชีวิตที่มีอยู่ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องมือฟื้นประเทศ ทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างทั่วถึง สมดุล และยั่งยืน
นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ปี 2565 เชื่อมั่นว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ตามเป้าหมายที่ 10 ล้านคนแน่นอน เนื่องจากขณะนี้มีเข้ามาสะสมเกือบ 6 ล้านคนแล้ว ส่วนการท่องเที่ยวในประเทศ ตั้งเป้าการเดินทางของตลาดไทยเที่ยวไทยไว้ที่ 160 ล้านคน-ครั้ง ซึ่งขณะนี้มีการเดินทางสะสมเกิน 130 ล้านคน-ครั้งแล้ว จึงมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมายแน่นอน แต่ความกังวลตอนนี้อยู่ที่เป้าหมายในแง่รายได้ อาจไปไม่ถึงที่ตั้งไว้ 1.28 ล้านล้านบาท และยังห่างจากเป้าหมายที่นายกรัฐมนตรีตั้งไว้ให้สร้างรายได้ถึง 1.5 ล้านล้านบาทด้วย
พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา
อย่างไรก็ตาม ต้องรอติดตามการเดินทางของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ซึ่งยืนยันการเดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก 2022 ระหว่างวันที่ 13-18 พ.ย.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่าจะมีการประกาศผ่อนคลายมาตรการเดินทาง อนุญาตให้นักท่องเที่ยวจีนมาประเทศไทยหรือไม่ “ต้องรอดูว่าช่วงที่นายสี จิ้นผิง เดินทางมาร่วมประชุมเอเปก 2022 จะมีการมอบของขวัญให้ประเทศไทยก่อนปีใหม่ ด้วยการอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยหรือไม่ ถ้าได้ คาดว่าจะทำให้เฉพาะเดือน ธ.ค.นี้มีชาวจีนเดินทางมาเที่ยวไทย 1.5 ล้านคน และทำให้ตลอดปีนี้มีต่างชาติเที่ยวไทยเกินเป้า 10 ล้านคน เพิ่มเป็น 12 ล้านคน”
นายพิพัฒน์ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการขยายเวลาการเปิดสถานบันเทิง จากตี 2 เป็นตี 4 ว่า เบื้องต้นได้คุยกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อแก้ พ.ร.บ.ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอยู่ที่ว่าจะยอมแก้ให้หรือไม่มากกว่า ขณะเดียวกันกำลังรวบรวมข้อมูลวิจัยของปี 62 จาก 3 สถาบัน ส่งมอบให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้เห็นถึงผลดีและผลเสียว่า ในพื้นที่ที่จะเปิดนำร่องไม่มีเสียงค้านจากประชาชน โดยจะยื่นเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) “ผลสำรวจและวิจัยการปิดสถานบริการเวลา 04.00 น. ถนนคนเดินบางลา ต.ป่าตอง จ.ภูเก็ต พบว่า ช่วงเวลา 03.00-04.00 น. ร้านค้าและสถานบันเทิงสร้างรายได้รวมเฉลี่ยต่อคืนสูงสุด 78 ล้านบาท เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่เลือก ออกจากโรงแรมเวลา 23.00 น. เพื่อมาถนนบางลา ซึ่งหากไม่สามารถใช้จ่ายในสถานบริการได้หลายที่และนานขึ้น จะสูญเสียโอกาสสร้างรายได้เข้าประเทศมหาศาล เฉลี่ย 70 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้จ่ายช่วง 01.00-04.00 น.”
ทั้งนี้ ข้อดีของการขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง 04.00 น. คือรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น มีการกระจาย รายได้ การจ้างงานเพิ่มขึ้น การพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ เช่น การจัดการขยะ การดูแลรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว ขณะที่การปิดสถานบริการ 01.00 น. จะทำให้สูญเสียรายได้เข้าประเทศกว่า 25,000 ล้านบาทต่อปี จากเวลา ที่จำกัดและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป มีการกระจายรายได้ไปธุรกิจต่อเนื่องน้อยลง.