
อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย(สคช.พิจิตร)ลงพื้นที่สืบเสาะหาข้อเท็จจริงเพื่อหาทางช่วยเหลือผู้พิการที่ถูก 3 สาวเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลวังบงค์ ต.สำนักขุนเณร อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร ซ้ำเติมผู้พิการ-ผู้ป่วยติดเตียง-ผู้มีรายได้น้อย ด้วยการขอเอกสารอ้างเอาไปทำเรื่องช่วยเหลือแต่สุดท้ายนำไปสมัครบัตรเครดิตกดเงินสด สุดท้ายความทุกข์ ความเดือดร้อนตกอยู่ที่ผู้พิการถูกธนาคารฟ้องเป็นจำเลยต้องชดใช้หนี้ที่ตนเองไม่ได้ก่อ
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 นายเอนก ถนอมจิตร์ อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย และการบังคับคดีจังหวัดพิจิตร มอบหมายให้ นายประเสริฐ ใจสนธิ์ อัยการจังหวัด ประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สนง.อัยการคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายฯจังหวัดพิจิตร (สคช.พิจิตร) และ นางสาวสุจิรา เบิกสว่าง ผอ.ศูนย์บริการคนพิการ จ.พิจิตร , นายวรพล โหมดชัง นิติกร สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.พิจิตร , นายนเรศ แก่นเพิ่ม ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 ต.วังกรด อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ร่วมกันลงพื้นที่ไปที่บ้านของนายสมชาย (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นผู้ขาพิการที่ตกเป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ผบE3176/2568 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ศาลสั่งปิดหมายตกเป็นจำเลย โดยมีธนาคารแห่งหนึ่ง เป็นโจทก์ฟ้องในคดีแพ่ง ซึ่งเป็นหนี้โดยที่ตนเองไม่ได้ก่อหนี้

โดย นายประเสริฐ ใจสนธิ์ อัยการจังหวัด ประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สนง.อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายฯจังหวัดพิจิตร (สคช.พิจิตร) ได้ชี้แจงถึงการลงพื้นที่ในครั้งนี้ว่า มาเพื่อช่วยเหลือทางคดีเนื่องจากเป็นความผิดที่เราไม่ได้ก่อให้เกิดหนี้ขึ้น ในส่วนของ สนง.อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายฯจังหวัดพิจิตร(สคช.พิจิตร) จะส่งทนายมาประสานงานและให้ความช่วยเหลือทางคดี โดยการไปต่อสู่คดีแทนในชั้นศาล แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้พิการรายนี้ต้องลงนามแต่งตั้งทนายและทำเรื่องขอความช่วยเหลือจากสนง.อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายฯจังหวัดพิจิตร(สคช.พิจิตร)เพื่อขอรับการช่วยเหลือ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบที่สามารถช่วยเหลือได้เนื่องจากจำเลยรายนี้เป็นผู้พิการติดเตียงและไม่ได้รับความเป็นธรรม รวมถึงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในการเดินทางที่จะไปขึ้นศาลได้ จึงขอให้มั่นใจในขบวนการยุติธรรมและการช่วยเหลือในครั้งนี้

ในส่วนของ นางสาวสุจิรา เบิกสว่าง ผอ.ศูนย์บริการคนพิการ จ.พิจิตร , นายวรพล โหมดชัง นิติกร สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.พิจิตร อธิบายถึงเหตุที่เกิดขึ้นว่าเนื่องจากมีผู้นำข้อมูลของผู้พิการไปใช้ทำบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด จากนั้นก็ให้ชื่อ-ที่อยู่ ในการทวงหนี้โดยส่งเป็นหนังสือไปยัง ชื่อ-ที่อยู่ ขอบุคคลที่ทำการแอบอ้างสิทธิ เมื่อธนาคารทวงหนี้จึงไม่ได้รับรู้ข่าวสารมารู้อีกครั้งก็ตกเป็นจำเลยในศาลดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้ สนง.พม.พิจิตร ก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือดูแลผู้พิการที่ต้องตกเป็นจำเลยในเคสของ 3 สาวเจ้าหน้าที่เทศบาลวังบงค์ ต.สำนักขุนเณร อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร สวมสิทธิทำบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ซึ่งเคสนี้เป็นเคสแรกหลังจากที่กองปราบและ ป.ป.ท. บุกรวบผู้ต้องหาทั้ง 3 สาว ดังกล่าวนี้

ในส่วนของ นายสมชาย (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นผู้ขาพิการที่ตกเป็นจำเลย ระบายความในใจว่ามีความทุกข์มาก ไม่นึกเลยว่าชีวิตคนพิการนอกจากจะใช้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากแล้วยังต้องมาถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ตนเองคิดว่าเป็นที่พึ่งกลับมาหลอกลวงต้มตุ๋นจนตกเป็นจำเลยถึงสองคดี ซึ่งคดีแรกฝ่ายเจ้าหนี้ทราบข้อเท็จจริงจึงไม่ฟ้องศาล ส่วนคดีที่อัยการ(สคช.พิจิตร) มาช่วยครั้งนี้เป็นคดีที่ สอง ตนเองกลุ้มใจมากยอมรับว่าเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ต้องมาเจอวิบากกรรมเช่นนี้ จนบางครั้งอยากคิดฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมถึงเหตุที่เกิดจาก 3 สาวเจ้าหน้าที่เทศบาลวังบงค์ ต.สำนักขุนเณร อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร สวมสิทธิทำบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด โดยมีการจับกุมทั้ง 3 คน ภายในสำนักงานเทศบาลตำบลวังบงค์ ต.สำนักขุนเณร อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร พร้อมของกลางใบแจ้งหนี้จากธนาคารต่างๆ ระบุชื่อบุคคลอื่น 507 ฉบับ ,บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดของบุคคลอื่น 116 ใบ,สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของบุคคลอื่น 35 ชุด เครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง

ทั้งนี้สืบเนื่องจาก (ข้อมูลการแถลงข่าวจากกองปราบ) เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 68 พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. , พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป. , พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ รอง ผกก.4 บก.ป. , พ.ต.ต.จิรัฎฐวัฒน์ กิจรุ่งเรืองเดช สว.กก.4 บก.ป. และ นายณภัทร เทอดไทย ผู้แทนของธนาคารเกียรตินาคิน ร่วมกันแถลงข่าว ที่กองบังคับการกองปราบ (บก.ป.) จับกุม น.ส.นุชรีย์ อายุ 42 ปี เจ้าหน้าที่แผนก นักวิชาการเงินและบัญชี กองการคลัง น.ส.จุฬาพร อายุ 55 ปี เจ้าหน้าที่นักจัดการงานทั่วไป และน.ส.อมรรัตน์ อายุ 51 ปี ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล
ทั้งหมดสังกัดสำนักงานเทศบาลตำบลวังบงค์ ต.สำนักขุนเณร อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร ตามลำดับหมายจับศาลอาญา ที่ 3106-308 /2568 ลง 27 พ.ค.68 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง ,ปลอมและใช้เอกสารปลอม , มีไว้ใช้และใช้เบิกถอนเงินสด ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ” ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ทำงานอยู่ที่เทศบาลตำบลวังบงค์ มีพฤติการณ์ออกไปพบกับกลุ่มชาวบ้านที่เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้มีรายได้น้อย อ้างว่าจะทำเอกสารขอสิทธิรับเงิน หรือสิ่งของช่วยเหลือจากทางราชการให้ พร้อมขอเอกสารประจำตัว บัตรประชาชน ข้อมูลบัญชีธนาคาร และเอกสารอื่นๆ

จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาร่วมกันทำเอกสารปลอมตัดต่อภาพใบหน้าจากบัตรประชาชนไปใส่เครื่องแบบข้าราชการออกหนังสือรับรองเงินเดือนว่าเป็นพนักงานข้าราชการรวมทั้งปลอมรายการเดินบัญชีว่ามีเงินหมุนเวียนหลายหมื่นบาท โดยส่งข้อมูลไปยังธนาคารต่างๆเพื่อขออนุมัติบัตรสินเชื่อเงินสด(บัตรเครดิต,บัตรกดเงินสด) จนเมื่อมีการอนุมัติบัตรแล้วและส่งบัตรกดเงินสดในนามของเหยื่อมาที่เทศบาลที่ผู้ต้องหาทั้ง3ทำงาน ก่อนจะนำบัตรดังกล่าวไปกดเงินสดออกมานำไปใช้จ่ายส่วนตัว
ต่อมาธนาคารเกียรตินาคินภัทรและธนาคารกสิกรไทย ตรวจพบกลุ่มลูกค้าที่มีสถานที่ทำงานอยู่ในสำนักงานเทศบาลเดียวกันที่ จ.พิจิตร ประมาณ 40 ราย ที่ยื่นขอสมัครสินเชื่อบัตรกดเงินสด พบข้อพิรุธว่าอาจมีการทุจริต ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าผู้ที่ขอสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่มีรายได้น้อย ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ ไม่ได้เป็นผู้สมัครสินเชื่อดังกล่าวจริง จึงเข้าแจ้งความกองปราบฯพ.ต.อ.เอกสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า พฤติกรรมของกลุ่มผู้ต้องหาร่วมก่อเหตุมาตั้งแต่ปี 67 เมื่อได้บัตรมาจะนำไปกดเงินสดออกมาจนเต็มวงเงินที่ได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5 หมื่นบาท ความเสียหายที่พบในขณะนี้ประมาณ 2 ล้านบาท สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้ธนาคารตรวจจับความผิดปกติของบัญชี กลุ่มผู้ต้องหาจะใช้วิธีชำระหนี้อัตราขั้นต่ำเพื่อป้องกันการถูกตรวจสอบจากธนาคารอีกด้วย

จากการสอบสวน น.ส.นุชรีย์ รับสารภาพว่า ต้องการหาเงินไปใช้หนี้นอกระบบบางส่วนนำเอาไปเล่นพนันหวยออนไลน์ ส่วน น.ส.จุฬาพร และ น.ส.อมรรัตน์ ให้การปฏิเสธ จึงนำตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. ดำเนินคดีต่อไป
โดย…สิทธิพจน์ เกบุ้ย/พิจิตร/