“หญ่าโย” แบรนด์ศูนย์กลางรวมชุมชนกว่า 300 รายสร้างรายได้จาก “กาแฟ” หนุนคนรุ่นใหม่ทำอาชีพปลูกกาแฟเพราะสามารถทำเงินให้ได้ถึง 500,000 บาทต่อคนใน 1 ปี พร้อมผลักดันให้เกิดความภูมิใจในการมีอาชีพปลูกกาแฟเพราะต่อยอดให้เป็นทั้งร้านคาเฟ่และบาริสต้าระหว่างประเทศได้

ร.ต.จีรศักดิ์ จูเปาะ เจ้าของแบรนด์หญ่าโย เล่าว่า บนดอยช้างเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่มีดินเป็นดินภูเขาไฟเก่ามาก่อน ทำให้เมล็ดกาแฟมีรสชาติโดดเด่นและมีสายพันธุ์กาแฟที่ให้ความเป็นถั่ว โกโก้ และช็อกโกแลตที่ชัดมาก ซึ่งคำว่า “หญ่าโย” มีนัยยะแฝงคือสุภาพบุรุษ เพราะมีความสตรองแข็งแกร่งเปรียบดั่งเช่นรสชาติของเมล็ดกาแฟ โดยเจ้าของแบรนด์ยึดถือคติ 3 แฟร์ ในการบริหาร ได้แก่ 1.ยุติธรรมกับเกษตรกร โดยให้ราคากาแฟที่ดีกับสมาชิกในกลุ่มเพราะแบรนด์หญ่าโยมีสมาชิกกว่า 300 ครอบครัวที่ทำร่วมกัน ส่งเสริมองค์ความรู้เรื่องต่างๆ สายพันธุ์กาแฟใหม่ๆ ในส่วนของเกษตรกรเองจะให้เป็นพื้นที่อาหารปลอดภัย นั่นคือการที่ไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า 100% โดยใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนทั้งหมด 2.ยุติธรรมกับลูกค้า หมายถึงลูกค้าจะได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ กาแฟที่อร่อย สะอาด ปลอดภัย จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ 3.ยุติธรรมกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าและส่งเสริมการปลูกต้นไม้ร่วมกับการปลูกกาแฟ โดยมองว่าความยั่งยืนจำเป็นต้องมีทั้ง 3 อย่างรวมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์หญ่าโยพยายามและกำลังทำอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกกาแฟโรบัสต้า โดยที่ในปีนี้ได้ปลูกไปแล้ว 1,500,000 ต้น

เหตุผลที่เป็นคนริเริ่มนำเอากาแฟโรบัสต้ามาปลูกที่ภาคเหนือนั้นเพราะว่าในปัจจุบันโลกของเราร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง อากาศบนดอยหรือภาคเหนือก็ส่งผลให้การปลูกกาแฟอาราบิก้าลดน้อยลงเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น เจ้าของแบรนด์จึงแก้ปัญหาด้วยการนำเอากาแฟโรบัสต้าที่ส่วนใหญ่ปลูกในภาคใต้มาทดแทน เพื่อที่จะให้เกษตรกรไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากเพราะคุ้นชินกับการปลูกกาแฟอยู่แล้ว เพียงเปลี่ยนแค่สายพันธุ์เท่านั้นเอง

การปลูกกาแฟในปัจจุบันบนดอยช้างเริ่มเป็นเทรนด์ให้กับเยาวชน เพราะการปลูกกาแฟสามารถสร้างรายได้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี จากเดิมที่มีแค่รุ่นพ่อแม่ที่นิยมปลูกและเก็บผลผลิตเมล็ดกาแฟ แต่ในตอนนี้เด็กรุ่นใหม่เริ่มให้ความสนใจ ส่งผลให้เยาวชนเด็กรุ่นใหม่ที่ทำอาชีพปลูกกาแฟบนดอยช้างมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ แบรนด์ “หญ่าโย” นั้นเป็นรุ่นที่ 2 โดยรุ่นแรกมาจากครอบครัวของคุณสุกัญญา บีซีทู ภรรยาของ ร.ต.จีรศักดิ์ ที่ปลูกกาแฟบนดอยช้างมาก่อนและต้องการพัฒนาให้กลายเป็นโปรดักส์หรือสินค้าจากเมล็ดกาแฟ เพื่อเป็นมรดกในเรื่องวัฒนธรรม องค์ความรู้และสวนกาแฟ ทำให้เกิดความร่วมมือกับแบรนด์ในชุมชน

ปัจจุบันสร้างแบรนด์มาได้ประมาณ 15 ปีและต่อยอดเป็นร้านกาแฟบนดอย พร้อมกับมีผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟขายให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบควบคู่ไปกับการเปิดคาเฟ่ นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจคือที่พักรีสอร์ทบนดอยช้างที่เข้ามาส่งเสริมและตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าอีกด้วย ในส่วนของการออกแบบรีสอร์ทจะเน้นออกแบบให้เข้ากับธรรมชาติบนดอย เมื่อลูกค้าได้มาพักและสัมผัสกับทั้งที่พักและกาแฟก็จะได้รับความสุขและความผ่อนคลายกลับไปนั่นเอง นอกจากนี้ทางแบรนด์ยังมีโรงคัดแยก บ่ม และคั่วเมล็ดกาแฟอย่างครบวงจรเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า

การปลูกกาแฟให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้ผู้ปลูกนั้น ทางแบรนด์มองว่า กาแฟที่ดีและขายได้ในตลาดมีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกันได้แก่ 1.กาแฟที่สร้างรายได้ 2.กาแฟที่ขายได้ และ 3.กาแฟที่สร้างชื่อได้ ทั้งสามอย่างต้องควบคู่กันไปจึงจะประสบความสำเร็จในตลาดกาแฟที่มีคุณภาพได้ ซึ่งกาแฟที่ตอบโจทย์สำหรับเกษตรกรที่สามารถเข้าถึงและมีทักษะการปลูกกาแฟอยู่แล้วนั้นก็คือกาแฟโรบัสต้าและอาราบิก้าที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน จากนั้นจึงได้เกิดงานวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กาแฟคือสายพันธุ์ห้วยน้ำมา 1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่การปลูกบนดอยช้าง

ในส่วนของรายได้ที่เกษตรกรจะได้รับนั้นเจ้าของแบรนด์ให้ข้อมูลว่าเฉลี่ยราคากาแฟที่ต่ำสุดคือ 30 บาท ใน 1 ไร่มี 300 ต้น ต้นละ 20 กิโลกรัมจะเท่ากับ 180,000 บาท ซึ่งถ้าหาก 1 ครัวเรือนมีมากกว่า 1 ไร่ก็คูณจำนวนไร่เข้าไป ก็จะได้รายได้ที่ได้จากการปลูกกาแฟขาย เพราะฉะนั้นค่า GDP ของสมาชิกในกลุ่ม 300 ครอบครัวจะมีรายได้อยู่ที่ปีละ 500,000 บาทต่อคนใน 1 ครอบครัว และนี่คือสาเหตุที่เด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจมาทำสวนกาแฟมากขึ้น


“หญ่าโย“ ในตอนนี้กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่องกาแฟแบบครบวงจรเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการทำกาแฟ ซึ่งที่มาของการมีสมาชิก 300 ครอบครัวนั้นเกิดจากความต้องการมีหน้าร้าน มีแบรนด์ดิ้ง มีการคั่ว และการสกัดกาแฟที่ไปด้วยกันได้กับชุมชน ซึ่งถ้าหากไม่สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนได้ชาวบ้านหรือเกษตรกรก็จะไม่เข้าร่วมกลุ่ม ดังนั้นการที่มีสมาชิก 300 ครัวเรือนจึงเป็นเครื่องการันตีว่าหญ่าโยสามารถทำให้ชาวบ้านมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ซึ่งการทำแบรนด์หญ่าโยก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เป็นต้นแบบให้กับแบรนด์อื่นๆ ของชาวบ้านได้


“สิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็คือผมสามารถสร้างให้ชุมชนหรือเยาวชนรู้สึกภูมิใจในความเป็นอาข่า คนทำกาแฟ ผมคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ตีค่ามูลค่าไม่ได้ อาจจะสร้างเงินนะแต่ภูมิใจในการเป็นชาวสวนปลูกกาแฟมากกว่า สำหรับผมถ้าถามคนบนดอยว่าทำอาชีพอะไรแล้วตอบว่าทำกาแฟจะรู้สึกมีทักษะ มีสกิลและเท่มาก ซึ่งสกิลการทำกาแฟสามารถไปแข่งขันระหว่างประเทศได้ โดยในตอนนี้มีน้องๆ ที่ไปอยู่ต่างประเทศค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี หรือออสเตรเลีย และไปในฐานะบาริสต้ามีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 50,000-100,000 บาท เป็นอาชีพที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับน้องๆ ครับ” ร.ต.จีรศักดิ์ ระบุ

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพืชเศรษฐกิจมีราคาที่ถูกลงแต่กลับกันกาแฟมีราคาที่สูงขึ้น โดยเจ้าของแบรนด์มองว่า GDP สูงขึ้น 100% เพราะก่อนหน้านี้ราคากาแฟเชอรี่อยู่ที่ 20-25 บาท แต่ขึ้นมาเป็น 40 บาท จากข้อมูล 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้การปลูกกาแฟเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งการปลูกกาแฟเพิ่มขึ้นแปลว่าพื้นที่ป่าก็เพิ่มขึ้นไปด้วย ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศ โดยในช่วงที่หมดฤดูกาแฟก็สามารถปลูกแมคคาเดเมีย ตามด้วยอโวคาโด้ และกลับมาที่กาแฟอีกรอบได้ ทำให้พื้นที่สีเขียวมีอยู่ตลอดทั้งปี และกาแฟก็เป็นพืชที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและให้ความมั่นคงต่อการสร้างรายได้ให้ชุมชนได้นั่นเอง