“สุดาวรรณ” ปลื้มร่วมภาคภูมิใจ กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก ประจำปี 2568  จาก Time Out  เผยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมสนับสนุน  ส่งเสริมการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากทุนทางวัฒนธรรมด้านอาหารของไทย พัฒนายกระดับอาหารไทย อาหารถิ่นสู่ระดับสากล

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า จากนโยบายนำทุนวัฒนธรรมทำให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกมาเที่ยวในมิติด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม  มุ่งขับเคลื่อน Soft Power สร้างเสน่ห์วิถีไทย ครองใจคนทั้งโลกผ่านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย โดนเฉพาะด้นอาหาร ถือว่าอาหารไทยเป็นที่ชื่นชอบจากนักชิมทั่วโลก ล่าสุดเป็นที่น่ายินดีว่า เมื่อเร็วๆนี้ กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก ประจำปี 2568  จาก Time Out ขยับขึ้นจากอันดับ 6 เมื่อปีที่แล้ว เป็นรองเพียง นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เท่านั้น ซึ่งกรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งสตรีทฟู้ดระดับโลก โดยเฉพาะ ‘ย่านเยาวราช’ เป็นย่านอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยเมนูชื่อดังมากมาย รวมถึงบาร์ค็อกเทลสุดชิคที่เปิดให้บริการตลอดคืน ยังคงเป็นที่นิยมของนักเที่ยวยามค่ำคืน ขณะที่ ‘ย่านบรรทัดทอง’ ซึ่งเคยเงียบเหงา ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งรวมสตรีทฟู้ดที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ถนนที่ดีที่สุดอันดับ 14 ของโลก จาก Time Out

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า “อาหาร” เป็นภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่สะท้อนแนวคิด (concept) วิถีชีวิต(lifestyle) ประวัติศาสตร์ (history) ภูมิปัญญา (remedy) ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การประกอบอาหาร การปรุงรสอาหาร วิธีการรับประทาน ข้อกำหนดและข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารที่แตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม รวมถึงการปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับต่างประเทศ ที่ผ่านมากระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เดินหน้าสนับสนุนและขับเคลื่อนโครงการที่มุ่งส่งเสริมการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากทุนทางวัฒนธรรมด้านอาหารของไทย ส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”

“ในปี 2568 นี้ เป็นปีที่ 3 ในการขับเคลื่อนการยกระดับอาหารถิ่นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นนโยบายที่สำคัญของกระทรวงวัฒนธรรม และนอกเหนือจากการค้นหาเมนูอาหาร “รสชาติ…ที่หายไป” แล้ว ยังมุ่งพัฒนาเมนูอาหารถิ่นสู่การจัดสำรับเครื่องดื่มพื้นบ้าน (assortment of traditional cuisine and beverages) ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เกิดการอนุรักษ์และเผยแพร่องค์ความรู้และภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอาหารของประเทศ การออกไปสำรวจจังหวัดต่างๆ ของไทยและนำเทคนิค ส่วนผสม และรสชาติแบบดั้งเดิมที่เคยถูกละเลยมาสู่เมืองหลวงอีกครั้ง ตลอดจนการนำเสนอเมนูอาหารที่สร้างสรรค์สู่สากล“นางสาวสุดาวรรณ กล่าว

ทั้งนี้ เมนูยอดฮิตของไทย “ต้มยำกุ้ง”  ยังได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก ในบัญชีรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity – บัญชี RL) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ในที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage: ICS-ICH) ครั้งที่ 19 ณ กรุงอาซุนซิออน สาธารณรัฐปารากวัย ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของไทยและถือเป็นการสร้างความตระหนักรู้ในระดับสากลต่อคุณค่าและความสำคัญของ “ต้มยำกุ้ง” ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมด้านอาหาร ซึ่งถือเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีการสร้างสรรค์ให้เข้ากับวิถีชีวิตที่มีความแตกต่างหลากหลาย สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชุมชนเกษตรกรรมริมแม่น้ำลำคลองในภาคกลางของไทยตลอดหลายศตวรรษที่มีวัฒนธรรมการบริโภคอาหารผ่านการสังเกตและเรียนรู้จากธรรมชาติ รวมถึงความเรียบง่ายและการดำเนินชีวิตที่พึ่งพิงธรรมชาติ พึ่งพาตนเอง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

กระทรวงวัฒนธรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการขับเคลื่อนโครงการด้านอาหารร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง (strengthening) ให้กับชุมชน มุ่งสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (creative economy) อย่างมีส่วนร่วมทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ อันจะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ (Thailand Creative Culture Agency : THACCA) ได้อย่างมีศักยภาพ