สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย ร่วมกับกระทรวงแรงงาน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภาหอการแห่งประเทศไทย และเครือข่ายพันธมิตรจัดเสวนา “ความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชน แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลของไทย” ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมฯ  ชี้ศักยภาพประมงไทยยังเข้มแข็งและไปได้อีกไกล เรียกร้องทุกฝ่ายเห็นความจำเป็นของแรงงานและสิทธิมนุษยชน  เผยส่งออกสินค้าอาหารทะเลและอาหารสัตว์เลี้ยง ปี 2567  มีมูลค่ารวมกว่า 2.8 แสนล้านบาท  มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยสร้างรายได้และเกิดการจ้างงานเป็นจำนวนมาก

ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทยกล่าวใน  งานเสวนาวิชาการ “ความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชน แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลของไทย” วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม 2568 ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ ชั้น 4 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า ทางสมาคมฯได้เชิญตัวแทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) นักวิชาการด้านแรงงานข้ามชาติ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาคม ที่มาร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก นำเสนอแนวทางปฏิบัติการแรงานที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายและแนวทางแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน แรงงานเด็ก และแรงานบังคับ

การเสวนาวิชาการในหัวข้อ “ความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชน แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลของไทย” ครั้งนี้ เกิดจากความตระหนักของภาครัฐ สมาคมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และสถาบันการศึกษา ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งออกสินค้าอาหารทะเลและอาหารสัตว์เลี้ยงของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันไทยเป็นผู้นำระดับโลก

จากตัวเลขการส่งออกปี 2567 มีมูลค่ารวม 285,000 ล้านบาท หรือ 8,075 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศช่วยสร้างรายได้และเกิดการจ้างงานจำนวนมาก ทั้งในภาคการผลิตบนบกและแรงงานในภาคประมง ซึ่งต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติมากขึ้น โดยแรงงานในภาคส่วนนี้ต้องเผชิญกับลักษณะงานแบบ 3D กล่าวคือ Dangerous-อันตราย, Dirty-สกปรก และ Dificult-ยากเพราะใช้แรงงานหนัก จึงมีประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด ทั้งจากภาครัฐ องค์กรภาคประชาสังคม และมาตรฐานจากผู้ซื้อในตลาดโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทย โดยภาครัฐได้พัฒนากฎหมายและแนวทางกำกับดูแลแรงงานในอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจก็มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง โดยนำหลักปฏิบัติด้านแรงงานที่ดี GLP Good LabourPractice มาใช้ในสถานประกอบการ การปรับปรุงสภาพการจ้างงานและสวัสดิการของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านแรงงานและสิทธิมนุษยชน และมาตรฐานสากลที่ผู้ซื้อให้ความสำคัญ ซึ่งตรวจสอบอย่างเข้มงวด

ความท้าทายเหล่านี้ ทำให้เกิดการดูแลแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากความก้าวหน้าและความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนดังกล่าว ทำให้สินค้าประมงของไทยได้รับความเชื่อถือจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญจากการค้าระหว่างประเทศ จึงเป็นที่มาของการจัดงานเสวนาวิชาการในวันนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และร่วมกันหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

อนึ่ง ปี 2567 ประเทศไทยส่งออกสินค้าอาหารทะเลและอาหารสัตว์เลี้ยง มีมูลค่ารวม 285,033.38 ล้านบาทหรือ 8,074.6 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น สินค้าอาหารทะเล แช่เย็น แช่แข็ง กระป้องและแปรรูป มีมูลค่า190,274.06 ล้านบาท หรือ 5,390.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.7% และสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขและแมว 94,759.32 ล้านบาท หรือ 2,684.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.4%