จากสถานการณ์อุทกภัย และปริมาณฝนที่ตกมาก ในพื้นที่ภาคใต้ เป็นช่วงภัยที่เกิดในช่วง 21 พฤศจิกายน 67 – ปัจจุบัน กรมส่งเสริมการเกษตรขานรับนโยบาย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำชับเจ้าหน้าที่เกษตรลงพื้นที่สำรวจความเสียหายทันที พร้อมกำชับในการลดระยะเวลาขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรรวดเร็วยิ่งขึ้น ภายใน 30 วัน และได้สั่งการให้ทุกจังหวัดลงพื้นที่บูรณาการการทำงาน เพื่อให้ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรได้ทันสถานการณ์
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ปัจจุบัน กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับรายงานพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา สตูล ตรัง ชุมพร สุราษฎร์ธานี และจังหวัดระนอง เกษตรกรได้รับผลกระทบจำนวน 94,206 ราย เป็นพื้นที่ที่คาดว่าจะเสียหาย จำนวน 203,086 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว จำนวน 56,513 ไร่ พืชไร่และพืชผัก จำนวน 14,406 ไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้นและอื่นๆ จำนวน 132,167 ไร่ ทั้งนี้จังหวัดสตูลหลังจากเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจเบื้องต้น พบว่าสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ และไม่มีพื้นที่การเกษตรที่คาดว่าจะเสียหาย นอกจากนี้ พื้นที่ประสบอุทกภัยดังกล่าวประกาศเขตให้ความช่วยเหลือแล้ว จำนวน 8 จังหวัด และยังไม่ได้ประกาศเขตให้การช่วยเหลือ จำนวน 3 จังหวัดได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และระนอง
สำหรับจังหวัดสตูล และกำชับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรลงพื้นที่สำรวจให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน และพร้อมจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ช.ภ.อ. เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือให้สามารถใช้เงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด หรือในอำนาจปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562
และหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2564 โดยเกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตรก่อนเกิดภัย โดยจะได้รับความช่วยเหลือครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว ไร่ละ 1,340 บาท พืชไร่และพืชผัก ไร่ละ 1,980 บาท ไม้ผลไม้ยืนต้นและอื่น ๆ ไร่ละ 4,048 บาท ซึ่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ส่วนราชการมีวงเงินทดรองราชการในการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือโดยมุ่งหมายที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของผู้ประสบภัยพิบัติแต่มิได้มุ่งหมายที่จะชดใช้ความเสียหายให้แก่ผู้ใด ซึ่งต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีพและความเป็นอยู่ของประชาชน หรือเป็นการซ่อมแซมให้คืนสู่สภาพเดิม โดยการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราช่วยเหลือที่กระทรวงการคลังกำหนด
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับขั้นตอนการขอรับความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านพืช โดยเกษตรกรจะยื่นเอกสารเพียงครั้งเดียว และภายใน 10 วันทำการหลังจากได้รับการอนุมัติ ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีให้เกษตรกรโดยตรง ตามลำดับต่อไป ให้เกษตรกรระวังการแอบอ้างจากมิจฉาชีพหรือผู้ไม่หวังดีในการรับเงินด้วย
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้เตรียมการสนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยศูนย์ขยายพันธุ์พืช (ศขพ.) จำนวน 10 แห่ง ได้จัดเตรียมเมล็ดพันธุ์และต้นพันธุ์พืชไว้พร้อมแล้ว ซึ่งเป็นพืชอายุสั้นที่เกษตรกรสามารถนำไปปลูกเพื่อเป็นอาหาร ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวและเพิ่มรายได้ เช่น เมล็ดพันธุ์พืชผัก จำนวน 70,000 ซอง ประกอบด้วย พริก มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ถั่วพู และกระเจี๊ยบเขียว และต้นพันธุ์ไม้ผลไม้ยืนต้น รวมทั้งศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านการอารักขาพืช (ศทอ.) จำนวน 9 แห่ง ได้ดำเนินการจัดเตรียมเชื้อราไตรโคเดอร์มา ทั้งแบบพร้อมใช้และหัวเชื้อขยาย จำนวน 7,000 ขวด พร้อมสนับสนุนเพื่อให้เกษตรกรนำใช้ในการฟื้นฟูป้องกันเชื้อสาเหตุโรคพืชสำหรับพื้นที่เพาะปลูกไม้ผลหลังน้ำลด ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัด หรือสำนักงานเกษตรอำเภอในพื้นที่ของท่าน