ที่สวนป้าสายหยุด หมู่ที่ 1 ต.นาข้าวเสีย อ.นาโยง จ.ตรัง สวนของ นางสายหยุด จันทร์สว่าง อายุ 62 ปี อดีตข้าราชการเกษียณ ที่หันมาเอาดีด้วยการทำเกษตรบนความต่างตามศาสตร์พระราชา โดยปลูกต้น อะบิว พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ และเป็นผลไม้นำเข้าจากประเทศไต้หวัน เกือบ 200 ต้นเมื่อปี 2564 โดยปลูกแซมในสวนทุเรียนเนื้อที่ 15 ไร่ ใช้เวลาปลูกประมาณ 8 เดือนเริ่มให้ผลผลิต เก็บขายได้กิโลละ 100-150 บาท ซึ่งแต่ละต้นจะเก็บลูกอะบิวขายได้ประมาณ 30 กิโลต่อต้นต่อปี ทำให้มีรายได้กว่า 500,000 บาทต่อปี
ปีนี้ ป้าสายหยุด ปลูกต้นอะบิวเพิ่มขึ้นรวมแล้วเกือบ 1,500 ต้น หวังจะโกยเงิน 2-3 ล้านบาทภายใน 1-2 ปีหน้า เนื่องจากยังมีตลาดรองรับอีกมากแต่เกษตรกรยังปลูกน้อย ทำให้คนที่ปลูกขายก่อนได้ราคาดี อีกทั้งลูกอะบิวเมื่อสุกจะมีสีเหลืองทอง สวยงามแปลกตา ถือว่าเป็นสีแห่งโชคลาภของชาวไทยเชื้อสายจีน และยังเป็นผลไม้ที่มี 3 รสชาติในลูกเดียวกันคือ มีกลิ่นหอมคล้ายมะม่วงน้ำดอกไม้สุก ผสมกับเนื้อมังคุดและตาลโตนด ส่วนเนื้อข้างในคล้ายเยลลี่ นุ่มละมุนลิ้น ละลายในปาก แต่ให้ความหวานเบา ๆ ทำให้ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถรับประทานได้
ส่วนเมล็ดข้างในเป็นสีดำ ทรงยาวรีมีไม่เกิน 2 เมล็ด ขนาดลำต้นอายุ 3 ปีมีความสูงไม่เกิน 4-5 เมตร แตกพุ่มออกข้าง ทำให้เก็บเกี่ยวง่าย ดูแลง่าย ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เช่น ขี้ไก่ ขี้วัว และแกลบเป็นหลัก เสริมด้วยดินภูเขาไฟเดือนละครั้ง จะให้ผลเร็ว ลูกใหญ่ ขนาด 3-5 ลูกต่อกิโล ที่สำคัญคือมีลูกดกตลอดทั้งปีไม่มีฤดูกาล ทำให้เกษตรกรเก็บขายได้อย่างต่อเนื่อง
สายหยุด จันทร์สว่าง อายุ 62 ปี อดีตข้าราชการเกษียณ เจ้าของสวนป้าสายหยุด
โดยวางขายหน้าบ้านและขายตลาดออนไลน์ พร้อมค่าจัดส่งฟรีทั่วประเทศในราคากิโลละ 150 บาท ซึ่งแต่ละวันจะมีเกษตรกรจากหลายจังหวัดเดินทางมาเก็บผลสดและชิมกันถึงสวน ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อต้นพันธุ์ไปปลูกในราคาต้นละ 50-500 บาทตามขนาดความสูง โดยปลูกแซมได้ทั้งในสวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมัน สวนทุเรียน สวนกล้วยและสวนผลไม้อื่น ๆ
เพราะเป็นต้นไม้ที่ไม่ชอบแสงแดดจัด แต่เป็นกัลยาณมิตรของต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทุกประเภท และนับเป็นแปลงปลูกต้นอะบิวรายแรกและรายใหญ่ที่สุดใน จ.ตรังในขณะนี้ ส่วนใครสนใจติดต่อได้ทางเฟซบุ๊ก สายหยุด จันทร์สว่าง หรือโทรศัพท์ 086-4763349 ซึ่งเปิดสวนให้ชมและชิมฟรีทุกวันไม่มีวันหยุด
นางสายหยุด จันทร์สว่าง เกษตรกรผู้ปลูกต้นอะบิวรายใหญ่ใน จ.ตรัง กล่าวว่า ปลูกไว้จำนวน 1,500 ต้นในปีหน้าตั้งเป้าว่าขายได้กิโลละ 50 บาท อย่างน้อย 1,500 ต้นปีหนึ่งได้เงินล้าน อย่างน้อย 2-3 ล้านเราสามารถทำเงินตรงนั้นได้ จีงอยากเชิญชวนเกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูกอย่างอื่นอยู่แล้ว มีระบบน้ำอยู่แล้วสามารถจะไปแซมได้ ทำรายได้ให้ท่านตลอดทั้งปีเป็นพืชที่ไม่มีโรค ปลูกได้ทุกพื้นที่ของประเทศไทย
โดยใช้อินทรีย์เป็นตัวตั้ง เคมีเล็กน้อย ไม่ต้องใช้ยาฉีด ใส่ปุ๋ยเคมีนิดหน่อย ที่เหลือก็จะเป็นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ของที่สวนจะใช้ดินภูเขาไฟเป็นหลัก นี่คือรายได้ที่เกิดจากการปลูกลูกอะบิว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังมาแรง ซึ่งของเราปลูกผสมผสานกับทุเรียนในพื้นที่ 15 ไร่ โดยมีทุเรียน 200 กว่าแต่เอาอะบิวมาแซมไว้ เฉพาะสวนนี้ปลูก 500 ต้น
โดยครั้งแรกปลูกประมาณ 100 กว่าต้น จากนั้นจึงขยายพื้นที่ปลูกไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ปลูกไปแล้วจำนวน 1,500 ต้น เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่เล็งเห็นแล้วว่า น่าจะทำเกษตรบนความต่างตามกระแสดำรัสของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9
วันนี้ขายที่สวนราคา 100-150 บาท ถ้าจัดส่งไปข้างนอกจะขายกิโลละ 150 บาทพร้อมค่าจัดส่งฟรี ส่วนรสชาติโดยทั่วไปที่คนวิจารณ์ออกมาว่า มันเป็นเยลลี่ คล้ายวุ้นคล้ายลูกตาล กลิ่นหอมออกมะม่วงแต่ไม่มีรสเปรี้ยว จะหวานละมุน
เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีฟันและสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเป็นหวานละมุน หวานไม่เยอะ กลิ่นจะหอมออกมะม่วงเบา ๆ หรือบางคนทานแล้วบอกว่ากลิ่นเหมือนกับลูกละมุด แล้วแต่จะวิจารณ์กันไป แต่มีหลายรสชาติในลูกเดียวกัน