อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เผย พร้อมสนับสนุนถ่ายทอดเทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพผลผลิตฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ในโรงเรือน ชี้ข้อดีเป็นพืชอายุเก็บเกี่ยวสั้น สร้างรายได้ให้เกษตรกรตลอดทั้งปี โดยมีรสชาติหวานนุ่มและเนื้อสัมผัสละเอียด อุดมไปด้วยวิตามิน เมื่อเก็บขายราคาอยู่ที่ กก.ละ 60-100 บาท

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ปัจจุบันการผลิตพืชผักอินทรีย์ในโรงเรือนได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากมีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิต ลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี กรมวิชาการเกษตร จึงได้จัดฝึกอบรม “เทคโนโลยีการผลิตฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ในโรงเรือน” ภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตพืชผักอินทรีย์ในโรงเรือนพื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อดำเนินการศึกษาการกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชในโรงเรือนฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าปลอดสารเคมีมากขึ้น โดยโครงการนี้เน้นการใช้เทคโนโลยีการเพาะปลูกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการจัดการโรงเรือนที่มีประสิทธิภาพ

ด้าน นางสาวนงนุช ช่างสี นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี กล่าวว่า เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสระแก้วนิยมปลูกเมล่อน แต่ประสบปัญหาทั้งด้านผลผลิตและราคา ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี จึงเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา ส่งเสริมและอบรมพัฒนาการผลิตฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ในโรงเรือน พื้นที่ภาคตะวันออก ที่ให้ผลผลิตและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร โดยฟักบัตเตอร์นัท (Butternut Squash) หรือ ฟักน้ำเต้า เป็นผลไม้กลุ่มสควอช เป็นฟักชนิดหนึ่งที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นรายได้เสริม เป็นผักที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งฟักบัตเตอร์นัทไม่เพียงแต่มีรสชาติหวานนุ่มและเนื้อสัมผัสที่ละเอียดอ่อนเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี กล่าวต่อว่า ฟักบัตเตอร์นัท เป็นพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น โดยใช้เวลาเพียง 75-100 วัน นับจากการเพาะเมล็ดจนถึงการเก็บเกี่ยว และสามารถให้ผลผลิตได้ 2-3 รุ่น และได้ 2-3 ผลต่อรุ่น ซึ่งต่างจากเมล่อนที่ให้ผลผลิตครั้งเดียว ราคากิโลกรัมละ 60-120 บาท (ขึ้นอยู่กับคุณภาพและท้องที่การผลิต) นอกจากนี้ ผลผลิตของฟักบัตเตอร์นัทสามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้นานถึง 4-5 เดือน โดยที่คุณภาพไม่ลดลง สีและรสชาติไม่เปลี่ยนแปลง

“สิ่งที่น่าสนใจคือ ฟักบัตเตอร์นัท สามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี ลักษณะเด่นคือ ผิวเรียบ ลื่น และมีสีครีมนวล เนื้อภายในมีความหนาและมีสีเหลืองทองที่น่ารับประทาน น้ำหนักเฉลี่ยของผลฟักบัตเตอร์นัทอยู่ที่ 0.4-0.8 กิโลกรัม รสชาติหวานมัน ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในเมนูอาหารหลากหลายชนิด” นางสาวนงนุช กล่าว

นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี กล่าวอีกว่า ทางศูนย์ฯ ได้ศึกษาวัสดุปลูกฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ในโรงเรือน พบว่า ดิน+ปุ๋ยหมักเติมอากาศ+ขุยมะพร้าว 1:2:1 ให้ผลผลิตจำนวนผลดีที่สุดตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โดยให้จำนวนดอกบานเฉลี่ย 0.65 ดอก จำนวนการติดผล 11 ผล และน้ำหนักผลเท่ากับ 393.97 กรัม หากสำรวจพบแมลงศัตรูพืช แนะนำให้ป้องกันและกำจัดโดยใช้วิธีการฉีดพ่นสารสกัดจากธรรมชาติอย่าง D-limonene เป็นสารสกัดจากเปลือกส้ม ในอัตราส่วน 2 ซีซีต่อน้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นทุกสัปดาห์ต่อเนื่องกัน 4 สัปดาห์

นางสาวนงนุช กล่าวด้วยว่า ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือ พบแมลงศัตรูพืชลดลงอย่างรวดเร็วภายในสัปดาห์แรกที่ทำการฉีดพ่น รวมทั้งใช้ไตรโคเดอร์มาผสมดินปลูกและฉีดพ่นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการเกิดโรคจากเชื้อรา สาเหตุโรคพืช และควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่อาจเกิดขึ้นในระบบราก ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยลดการใช้สารเคมี อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มปลูกพืช เกษตรกรต้องหมั่นสำรวจพืชที่ปลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทราบสถานการณ์ของศัตรูพืช และสภาพความแข็งแรงของพืชที่ปลูก หากพบต้นพืชที่เป็นโรคให้ถอนออกจากโรงเรือนทันที เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคไปยังต้นพืชอื่นๆ ในโรงเรือน

เกษตรกรที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี โทรศัพท์ 037-210261, 037-210262.