ภายหลังจาก ครม.มีมติโครงการสนับสนุนการซื้อปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และสารชีวภัณฑ์ ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยให้เกษตรกรลงทะเบียนเข้าร่วม หรือโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.เป็นต้นไป ผู้สื่อข่าวจึลงพื้นที่บ้านโนนรัง ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น เพื่อสอบถามกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ว่าโครงการดังกล่าวตอบโจทย์เกษตรกรมากน้อยแค่ไหน

นายวิรัตน์ โพธิ์ศรีเรือง อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่109/2 ม.22 บ้านโนนรัง ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ประธานศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธ์ข้าวชุมชนสาวะถี กล่าวว่า ปุ๋ยคนละครึ่งเป็นโครงการที่ดี เริ่มต้นจากเกษตรกรรวมตัวกัน เข้าไปคุยกับกรมการข้าวเรื่องเงินสนับสนุนปุ๋ยสูตรแตกกอและสูตรแตกรวง การพูดคุยก็เข้าใจกันทุกฝ่าย จากนั้นกรมการข้าวก็ดำเนินการต่อ โดยนำเรื่องเข้าสู่ชั้นกรรมาธิการ แต่โครงการกลับออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งไม่ตอบโจทย์เกษตรกรอย่างมาก ยิ่งในระยะนี้เงินหายากและยังจะให้เกษตรกรเอาเงินไปสมทบที่ ธกส. ก่อนถึงจะได้ปุ๋ย ถ้าเกษตรกรรายไหน ไม่มีเงินไปสมทบ ก็จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการนี้

“ถ้าเปรียบเทียบรัฐบาลนี้กับรัฐบาลลุงตู่ สู้รัฐบาลลุงตู่ไม่ได้นโยบาย ห่างไกลกันมาก เพราะรัฐบาลลุงตู่ให้เกษตรกรจริงๆให้แบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งโครงการเครื่องจักรกล โครงการอินทรีย์ล้านไร่ที่เกี่ยวกับเกษตรกร รัฐบาลลุงตู่ให้จริงๆ แต่รัฐบาลนี้เหมือนเอาเกษตรกรไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง เอาไปเป็นเครื่องเล่น ถ้าโครงการนี้ถ้าใครไม่มีเงินสมทบก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ”

นายวิรัตน์ กล่าวต่ออีกว่า โครงการนี้ยังมีอะไรหลายอย่างไม่ชัดเจน เหมือนเป็นการโยนหินถามทาง เป็นกระบวนการที่มีความยุ่งยาก ถ้าจ่ายเป็นเงินมาช่วยเหลือเข้าบัญชีเกษตรกรเลย แล้วให้เกษตรไปเลือกซื้อปุ๋ยสูตรไหนก็เรื่องของเกษตรกรจะดีกว่า และร้านค้าปุ๋ยก็จะมีการแข่งขันกัน และลดราคาแข่งกันเป็นผลดีกับเกษตรกร แต่ถ้าจะช่วยเหลือแบบไร่ละ 500 บาท แต่ไม่มีค่าเก็บเกี่ยว ก็ไม่ต้องมาช่วย เพราะเงิน 500-1,000 บาทมีความหมายมาก

ขณะที่การกำหนดราคาปุ๋ยมาไร่ละ 1,000 บาท ถ้าเกษตรกรซื้อปุ๋ยไม่ถึงกระสอบละ 1,000 บาท เงินที่เหลือ หรือเงินทอนที่เหลือจะเข้ากระเป๋าใคร เงินส่วนนี้จะไปอยู่ไหน ดังนั้นทางที่ดีควรโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรเหมือนเดิมให้เกษตรกรไปบริหารจัดการเองจะตรงกับการช่วยเหลือเกษตรจริงๆ