อีกไม่กี่วันจะครบ 2 ปีเต็มที่ 2 รัฐบาล (รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน) ปราบปรามหมูเถื่อนต่อเนื่อง ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นปี 2565 ไทยประกาศพบโรค ASF ผลผลิตในประเทศหายไป 50% ทำราคาหมูหน้าฟาร์มดีดขึ้นไปสูงกว่า 100 บาทต่อกิโลกรัม จากที่ไม่เกิน 65 บาท หมูเนื้อแดงจาก 130-150 บาทต่อกิโลกรัม กระโดดขึ้นไป 200 บาท จึงเป็นที่มาของ “หมูเถื่อน เกลื่อนไทย” กวาดล้างไม่หมด เพราะทำกำไรเป็นกอบเป็นกำให้เหล่ามิจฉาชีพ จากต้นทุนนำเข้าถึงไทยเฉลี่ย 70-80 บาทต่อกิโลกรัม แต่ผู้เลี้ยงหมูน้ำตาตกขาดทุนบักโกรกนานกว่า 10 เดือน ที่สำคัญยังจับกุมดำเนินคดีกับ “ตัวการใหญ่” ไม่ได้เลย

ช่วงแรกของการปราบปรามทั้งปี 2565 ของกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และตำรวจ ทำงานแบบไม่หวังผล จับกุมหมูเถื่อนได้เพียง 960 ตัน เท่านั้น ขณะที่ มกราคม-มีนาคม 2566 จับกุมได้อีก 120 ตัน ภาษาคนทำงานจริงจังเรียกว่า “จิ๊บจ๊อย” มาเริ่มตรวจเข้มและจับดุ หลังการนำเข้าสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรถูกสังคมตั้งคำถามว่า “หมูเถื่อน” เข้ามาในประเทศได้อย่างไร? หน่วยงานใดรับผิดชอบต้นทางการนำเข้า? สะท้อนการทำงานภาครัฐไม่โปร่งใส การปราบปรามไม่คืบหน้า จนหลังเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม นายกฯ เศรษฐา เข้ารับตำแหน่ง ประกาศทำสงครามกับหมูเถื่อน ต้องสาวให้เจอ “ผู้บงการ”

“หมูเถื่อน” ถูกส่งต่อจากกรมศุลกากรไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) บัดนั้น คดีคืบหน้ารวดเร็ว มีการเปิดตู้หมูเถื่อนตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้ น้ำหนักรวม 4,500 ตัน เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสำแดงเท็จเป็นโพลีเมอร์ และอาหารทะเลแช่แข็ง ทั้งสิ้น นับเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้การสืบสวนจนพบต้นทางและเส้นทางการเงิน สู่การจับกุม 10 บริษัท ผู้ต้องหา 11 คน และนายทุนมอบตัว 2 คน รวมถึงแจ้งความดำเนินคดีกับข้าราชการ 3 คน สู่การยึดและอายัดทรัพย์มากกว่า 90 ล้านบาท นับเป็นความคืบหน้า แต่ที่ยังคาใจคือ “ใครคือตัวการใหญ่?”

จากหลักฐานชิ้นใหญ่ดังกล่าว DSI ขยายผลการสอบสวนย้อนหลังการนำเข้าสินค้าระหว่างปี 2564-2566 พบหมูเถื่อน สำแดงเท็จออกจากท่าเรือแหลมฉบังไปแล้ว 2,385 ตู้ น้ำหนักรวมประมาณ 59,000 ตัน กระจายซุกซ่อนอยู่ในห้องเย็นทั่วประเทศจนถึงขณะนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักทำให้หมูไทยราคาตกต่ำมากที่สุดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะผลผลิตหมูไทยออกสู่ตลาด พร้อมๆ กับหมูเถื่อนถูกระบายออกจากห้องเย็นตลอดเวลามาแข่งราคากับหมูไทย ทำให้ซัพพลายล้นตลาดราคาหมูไทยจึงตกฮวบ นายกฯ เศรษฐา ต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมพร้อมพรั่งสั่งการเด็ดขาดอีกครั้ง “หมูเถื่อน ต้องหมด” และผู้กระทำผิดไม่ว่าจะนายทุน นักการเมือง หรือข้าราชการ ต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด

จนถึงวันนี้ มีการประเมินเบื้องต้นว่าหมูเถื่อนทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 50,000 ล้านบาท ทั้งเชื่อว่ายังมีหมูเถื่อนตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง และมีการร้องขอให้ตรวจสอบท่าเรือคลองเตย รวมถึงห้องเย็นทั่วประเทศต่อเนื่อง เพื่อกวาดล้างเนื้อสัตว์ผิดกฎหมายเหล่านี้ออกมาจากที่ซ่อน จับกุมและทำลายตามขั้นตอนมาตรฐานเพื่อป้องกันโรคระบาด เพื่อคืนความยุติธรรมให้หมูไทยที่ปลอดภัยสูง ปราศจากสารเร่งเนื้อแดงและสารปนเปื้อน เป็นหลักประกันชั้นเลิศให้กับคนไทยได้มีเนื้อสัตว์คุณภาพดีบริโภคอย่างเพียงพอ ที่สำคัญการปราบปรามหมูเถื่อนให้สิ้นซากจะนำกลไกตลาดและสมดุลราคากลับคืนให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรมสุกรไทย

ผู้เลี้ยงหมูและสังคม จับตาต้องการทำงานภาครัฐในการพิสูจน์ประสิทธิภาพการจับกุม “ผู้บงการ” ตัวจริงให้เปิดโฉมหน้าในเร็ววัน และนำตัวผู้กระทำผิดไปลงโทษตามกฎหมายสูงสุด เพื่อชดเชยความเสียหายของเกษตรกรที่ขาดทุนมานานกว่า 10 เดือน ก่อนที่พวกเขาทิ้งอาชีพไป ซึ่งอาจกระทบต่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารของไทยในอนาคต

โดย…อัปสร พรสวรรค์ นักวิชาการอิสระ