ขอนแก่น-ภรรยา “นายเดช” ปิดประตูใส่หน้านักข่าวพร้อมระบุสามีไม่พร้อมให้สัมภาษณ์ ขณะที่ตร.แวงน้อย ส่งรถตู้ตรวจซ้ำ ด้าน ผอ.รพ.ขอนแก่น ยืนยัน ดูแลรักษาสองพี่น้องเต็มที่

เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 7 พ.ย. 2566 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านนายเดช คนขับรถตู้คันที่นำพาน้องเอ เด็กหญิงวัย 13 ปี ส่งไปหาพ่อแม่ ที่กรุงเทพฯก่อนถูกกล่าวหาว่าข่มขืนกระทำชำเราบนรถ ที่บ้านเลขที่ 357 บ้านแวงน้อย ต.แวงน้อย อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น โดยพบว่าวันนี้บ้านถูกเปิดเพียงครึ่งเดียว มีเพียงภรรยาของนายเดช อาศัยอยู่แลพเดินมาปิดประตูบ้านและล็อคข้างในทันที หลังพบว่าทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านโดย ภรรยาพูดเพียงว่า สามีไม่พร้อมให้สัมภาษณ์ใดๆ

ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปที่สภ.แวงน้อย ซึ่งพบรถตู้ ทะเบียนป้ายเหลือง หมายเลข 33-8316 กรุงเทพฯ รถของนาบเดช จอดอยู่ โดย พ.ต.อ.สมมาตย์ มั่งไธสงค์ ผกก.สภ.แวงน้อย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขับรถตู้คันดังกล่าว ไปที่ ศพฐ.4 ขอนแก่น อีกครั้ง เพื่อส่งตรวจรายละเอียดรอบนอกทั้งหมด ทั้งเรื่องทะเบียน แชทซี รถยนต์ รวมถึงมีการตกแต่งรถหรือไม่ หลังจากเมื่อวานที่ผ่านมา ( 6 พ.ย.) เจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐาน 4 ตรวจสอบรถตู้ไปแล้ว เพื่อหาหลักฐานที่อาจเชื่อมโยงในคดีที่ผู้ปกครองเด็กหญิงอายุ 13 ปี แจ้งความร้องทุกข์ไว้

พ.ต.อ.สมมาตย์ มั่งไธสงค์ ผกก.สภ.แวงน้อย กล่าวว่า การส่งรถตู้คันดังกล่าว กลับไปให้ เจ้าหน้าที่ ศพฐ.4 ขอนแก่น ตรวจอีกครั้ง เพราะเมื่อวานตรวจเฉพาะภายใน ครั้งนี้ให้ตรวจรอบนอก ว่ามีการตกแต่งหรือเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง เมื่อตรวจเรียบร้อยก็ส่งรถตู้กลับมายังสภ.แวงน้อย ในขณะเดียวกันก็ได้รายชื่อผู้โดยสาร ที่นั่งรถไปพร้อมกับเด็กหญิงวัย 13 ปี ในวันที่ 1 ต.ค.2566 มาเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการโทรประสานงานกับผู้โดยสารทั้งหมด เพื่อขอความร่วมมือกับทุกคนมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แวงน้อย

“จากการโทรศัพท์ประสานงานกับผู้โดยสารทั้ง 12 คน สามารถติดต่อได้เป็นบางคน บางคนก็ติดต่อไม่ได้ ในส่วนของคนที่ติดต่อได้ ส่วนใหญ่ไปทำงานอยู่นอกพื้นที่ ซึ่งจะได้ประสานงานกับตำรวจในพื้นที่ ที่ผู้โดยสารอาศัยอยู่ ไปสอบปากคำให้ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในช่วงของการเดินทางในวันเดียวกันกับผู้เสียหาย”

ผกก.สภ.แวงน้อย กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของนายเดชนั้น ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย ไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหาและยังไม่ใช้ผู้ต้องหา และให้ความร่วมมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ เมื่อสอบปากคำเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ก็ปล่อยให้กลับบ้าน ส่วนอาการที่เกิดกับเด็กหญิง 13 ปี และพี่ชาย เป็นนักเรียนชั้น ม.4 ที่มีอาการเสียสติ และญาติเชื่อว่า ทั้งคู่ถูกมอมยานั้น ตำรวจมีการประสานงานกับแพทย์ที่ทำการรักษาอยู่ตลอด เพราะทุกฝ่ายก็อยากให้ 2 คนหาย หรือมีอาการดีขึ้น พูดคุยซักถามได้ จะได้คุยกัน

” ทุกฝ่ายใส่ใจ ไม่มีใครละเลย แต่ว่าขณะนี้น้อง 2 คน ไม่ดีขึ้น จึงยังไม่ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นกับน้องสองคนจนมีอาการดังกล่าว จึงฝากเตือนไปยังพ่อแม่ ผู้ปกครอง ว่า หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไกลด้วยรถโดยสาร อย่าปล่อยลูกหลานเดินทางเพียงลำพัง ควรมีญาติหรือคนที่ไว้ใจได้ เดินทางไปด้วย จะได้มีความปลอดภัย”

ด้าน นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผอ.รพ.ขอนแก่น กล่าวว่าในหน้าที่แพทย์ ไม่สามารถตรวจได้ขนาดว่า อาการที่สองพี่น้องเป็นนั้น เกิดจากอะไร อีกทั้งสองพี่น้องก็ได้รับกาตรวจในเบื้องต้นจาก รพ.ชุมชนมาก่อน จากนั้นจึงส่งตัวมารักษาต่อที่ แผนกจิตเวชเด็กที่รพ.ขอนแก่นซึ่งเมื่อแพทย์ตรวจแล้วก็ต้องแยกทั้งสองออกมา ว่า อาการทางจิต ที่เกิดขึ้นของเด็กทั้งสองคนนั้น เพราะอารมณ์ของเด็ก ซึ่งอารมณ์กับทางจิตจะไม่เหมือนกัน ต้องแยกว่ามีสาเหตุทางกายทางไหนบ้าง ที่จะทำให้คนไข้มีอาการได้บ้าง ขณะนี้ให้คุณหมอที่ดูแลระบบประสาท ทำการตรวจเด็กหญิงอายุ 13 ปี ในเรื่องประสาททางภาษากาย ซึ่งไม่ใช่โรคประสาท แต่ไล่ตรวจหาเชื้อโรค และตรวจคลื่นสมอง

“หลังเด็กหญิง 13 ปี ถูกส่งตัวมารักษา วันต่อมาพี่ชายซึ่งทราบว่าเรียนชั้น ม.4 ก็ถูกส่งตัวมาด้วยอาการเดียวกัน ซึ่งในรายละเอียดจริงๆแล้วทางการแพทย์เราไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่เราพูดในหลักการกัน โดยทางแพทย์ก็ได้นำน้ำไขสันหลังไปตรวจ เพราะมีความจำเป็นต้องตรวจ แต่ตอบในตอนนี้ ได้เพียงว่า การตรวจต้องส่งไปที่สถาบันประสาท ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2 สัปดาห์ จึงจะทราบผล ตอนนี้น้องทั้งสองคนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ขอนแก่น ในส่วนที่ญาติติดใจในอาการของสองพี่น้องที่เป็นและเชื่อว่าถูกมอมยานั้น ก็เป็นสิ่งที่ญาติพูดได้ ในทางการแพทย์จะไม่ก้าวล่วง เพราะมีหน้าที่ในการตรวจอย่างเดียว รายละเอียดอย่างอื่นตอบไม่ได้”

โดย…จักรพันธ์ นาทันริ ขอนแก่น