กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา จำนวน 4 ราย ดังนี้

1. นางปวีรา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 3656/2566 ลง 26 ต.ค.66
2. นางเสาวลักษณ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 56 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 3657/2566 ลง 26 ต.ค.66
3. นายกุลพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 3712/2566 ลง 30 ต.ค. 66
4. นายปุริม (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 3734/2566 ลง 31 ต.ค. 66
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องโดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด และโอน หรือรับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้นหรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังการกระทำความผิดมิให้ต้องโทษหรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน”

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมากรวมตัวกันเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าถูก
มิจฉาชีพหลอกให้ซื้อทุเรียนผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ “ทุเรียนสวนลุงแดง” แต่หลังจากโอนเงินไปแล้วกลับไม่ได้รับทุเรียน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ากรณีดังกล่าวมีผู้เสียหายกว่าร้อยราย

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กก.2 บก.ปอท. ได้ทำการสืบสวนจนพบว่า
กลุ่มคนร้ายได้ร่วมกันใช้เพจเฟซบุ๊ก ชื่อ “ทุเรียนสวนลุงแดง” มีผู้ติดตามจำนวนเกือบ 20,000 ราย มาหลอกขายทุเรียนทิพย์ โดยจะนำรูปภาพทุเรียน มาโพสต์ขายในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด และในบางครั้งก็มีการสร้างแรงจูงใจด้วยการจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม จากการสืบสวนพบว่าคนร้าย มีการจ้างให้คนมาคอมเมนต์และรีวิว เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเพจ จนทำให้ประชาชนหลงเชื่อ ติดต่อซื้อทุเรียนทิพย์ พร้อมทั้งโอนเงินให้กับกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้ ก่อนจะไม่สามารถติดต่อได้อีก เบื้องต้นภายใน 1 สัปดาห์ พบความเสียหายมูลค่ากว่า 500,000 บาท, ผู้เสียหายกว่า 500 คน และมียอดเงินหมุนดเวียนรวมกันมากกว่า 1 ล้านบาท

จากการสืบสามเบื้องต้นพบว่า กลุ่มอมร้ายได้สร้างพลเพื่อนลอกขายสินค้าต่างๆ จำนวน 4 เพจ
1. เพจชื่อ “ทุเรียนสวนลุงแดง” ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่าเกือบ 20,000 ราย
(https://www.facebook.com/profile.php?id=100064903637670),
2. เพจชื่อ “ทุเรียนพรีเมียม เมืองจันทร์” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 14,000 ราย
(https://www.facebook.com/profile.php?id=100094298059696),
3. เพจชื่อ “แม่เพ็ญอาหารทะเลสด ” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 23,000 ราย
(https://www.facebook.com/profile.php?id=100092422271436) และ
4. เพจชื่อ “คุณชาย หมูกรอบ” ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 10,000 ราย และมีชื่อเพจตรงกับเพจของดารา
หนุ่มชื่อดัง (อาร์ต พศุตม์ บานแย้ม) (https:/www.facebook.com/profile.php?id=100095322322513)

ต่อมา เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 66 ถึงวันที่ 1 พ.ย. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางได้บูรณาการกำลัง
ร่วมกัน โดยมี กก.2 บก.ปอท, กก.5 บก.ป. และ กก.6 บก.ป. ร่วมกันตรวจค้น 5 จุด ในพื้นที่จังหวัดสงขลา
และสุราษฎร์ธานี จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 รายข้างต้น พร้อมตรวจยีดของกลาง ดังนี้
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, โน๊ตบุ๊ค, โทรศัพท์มือถือ, Ipad ซึ่งใช้ในการบริหารจัดการเพจ และใช้สนทนาหลอกลวงผู้เสียหาย จำนวนหลายรายการ
2. สมุดบัญชีธนาคาร(บัญชีม้า) ที่คนร้ายใช้รับเงิน และซิมโทรศัพท์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการกระทำ
ความผิด
3. รถยนต์ จำนวน 3 คัน
4. เงินสด มูลค่ากว่า 300,000 บาท พร้อมสร้อยคอทองคำ

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาบางราย ให้การรับว่า ตนพร้อมพวกได้ร่วมกันซื้อเฟซบุ๊กและเพจเฟซบุ๊ก เพื่อนำมาสร้างเพจหลอกขายสินค้า โดยเลือกขายสินค้าที่เป็นที่นิยมในท้องตลาด ณ ขณะนั้น โดยตั้งราคาที่ดึงดูดความสนใจผู้เสียหาย ผู้ต้องหายังรับว่ามีการจ้างผู้อื่น ให้กดไลค์กดติดตาม พร้อมคอมเมนต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของเพจ และซื้อตัวช่วยการประกาศโฆษณา (ยิงแอด) ทำให้ประชาชนที่พบเห็นหลงเชื่อ และถูกหลอกลวงในที่สุด โดยกลุ่มคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำ แบ่งเป็น หน้าที่ซื้อบัญชีธนาคารม้าพร้อมซิมโทรศัพท์, ซื้อเพจเฟซบุ๊ก,บริหารจัดการเฟซบุ๊ก, สนทนากับผู้เสียหาย, ถอนเงินจากบัญชีธนาคารม้า ซึ่งคนร้ายกลุ่มดังกล่าวมีการถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มหลายท้องที่ มีการเปลี่ยนยานพาหนะที่ใช้ถอนเงิน เพื่อให้ยากต่อการสืบสวนจับกุม