นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกใสเปิดเผยเรื่องจีนเทาภาค 2 น โดยก่อนที่จะพูดเรื่องดังกล่าวได้นำโคมไฟสีแดงเดินมาคล้องบริเวณฟิวเจอร์บอร์ด พร้อมพูดว่า “บ้านเรามีแต่จีนเทา ไม่ใช่อเมริกาเทา”

จากนั้นได้อธิบายเรื่องจีนสีเทา โดยเปรียบเทียบ 2 สถานที่ คือ “ จินหลิน” ซึ่งเปรียบเป็นจีนสีเทาภาคที่1 กับ “ไดม่อน” หรืออาบอบนวด เปรียบเป็นจีนสีเทาภาคที่2 ที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี หรือ ( กก.ดส.) บุกจับเมื่อคืนนี้ ว่าทั้ง2 สถานที่มีความเหมือนกัน คือ มี KTV คาราโอเกะ,ทีวี เป็นธุรกิจบันเทิง ที่เปิดห้อง ร้องเพลงคาราโอเกะ โดยมีผู้หญิงมานั่งชงเหล้า รวมถึงมียาเสพติด เช่น ยาเค ,ไอซ์ ,Happy waterเปิดไฟวิบวับ ไม่เหมือนคาราโอเกะทั่วไป ต้องใช้ไฟ ที่ทำให้คนเสพยา ต้องเคลิบเคลิ้ม รวมถึงมีบ่อนการพนัน ซึ่งธุรกิจนี้ มาแทนที่อาบอบนวด สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ตำรวจไม่ได้มีบทเรียนจาก “จินหลิน” ในการป้องกันจึงทำให้เกิดเป็น “ไดม่อน” หรือชื่อเดิมคือ เมรี เกิดจาก “ชายเล็ก” ซึ่งตำรวจย่านมักกะสันรู้จักดี ซึ่งพฤติกรรมของชายเล็ก จะเป็นเอเย่นต์นำผู้หญิง จากประเทศเมียนมาร์ หลอกมาทำงานที่ประเทศไทย โดยนำเงินจำนวนมากมาให้กับพ่อแม่ของผู้หญิงพวกนั้น เช่น 30,000 บาท เป็นต้น เมื่อให้เงินแล้ว เขาจะพาหญิงเหล่านั้น มาที่อพาร์ทเมนท์ ที่เขาเช่าไว้แล้ว พามาอยู่รวมกัน แล้วจะพาขึ้นรถตู้ไปส่งเพื่อทำงานตามสถานต่างๆ โดยเงินที่ได้จากการทำงาน เขาจะหักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าหนี้, ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์,อาหาร คืนให้กับชายเล็กซึ่งเป็นคนพามา

โดย “ชายเล็ก” ชวนให้ “อาจ๋าย” ซึ่งเป็นคนจีนที่พูดไทยได้ เป็นเจ้าของทุนและมีหมายแดงจากประเทศจีน และเข้ามาที่ประเทศไทยได้เพราะใช้ visa on arrival เข้ามา โดยเงินที่ลงทุนที่”ไดมอนด์” ประมาณ 40-50 ล้านหยวน หรือ 200-300 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าที่ไม่เยอะ เหมือนกับตู้ห่าว โดยมีชายเล็ก” เป็นเอเย่นต์ติดต่อให้ “อาจ๋าย” และมี “บังมัด” ออกหน้าให้อาจ๋าย และเคลียร์ส่วย ติดต่อกับรองผู้กำกับในพื้นที่ให้ซึ่งมี ชื่อเล่นอักษรย่อ “ห”

“ สิ่งที่สำคัญคือ สถานบันเทิงเหล่านี้จะต้อง “จ่ายส่วย” ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพราะ เปิดติดถนนใหญ่ และเชื่อว่ามีสถานบันเทิงเช่นนี้อีกจำนวนมากมนกรุงเทพและประเทศไทย สำหรับ “ไดมอนด์” มี่ถูกจับในครั้งนี้ เพราะเกิดจากความขัดแย้งกันในหน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ มีการแฉกันเกิดขึ้นและเคลียร์ผลประโยชน์ไม่ลงตัว หลังจากที่พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รับแจ้งข้อมูลมา และสั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ไปตรวจสอบ จากนั้น กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี เข้าจับกุมเมื่อคืนนี้ ซึ่งกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี เปรียบเสมือนพ่อบ้านของ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในการตรวจสอบ ซึ่งเหล่าทุนจีนรู้ดีว่าต้องไปเคลียร์กับใคร ในเรื่องใดเป็นต้น ซึ่ง ปัญหาส่วย เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ และปัญหาต่อมา คือ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เหตุใดจึง ปล่อยให้กลุ่มจีนเทาเข้ามาได้ เพราะคนจีนกลัวไทยอย่างเดียว ก็คือจีนอุ้มจีน”

นอกจากนี้ นานชูวิทย์ ยังแฉอีกด้วยว่า มีสถานบันเทิงที่มีลักษณะเป็นคาราโอเกะ KTV ภายในห้องมีอ่างคล้ายไดมอนด์ และยังเปิดภาพการเตรียมความพร้อม มีรถบรรทุกขนย้ายข้าวของ ที่กำลังจะเปิดภายในสัปดาห์นี้ แต่ความจริงแล้วจะเปิดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่ว่าเคลียร์เรื่องส่วยยังไม่ลงตัว จึงยังไม่สามารถเปิดได้ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สุทธิสาร จึงต้องเลื่อนกำหนดเปิดออกไป เพราะหากไม่จ่ายส่วย จะไม่สามารถเปิดได้ นอกจากนี้ “ลาลิซ่า” ซึ่งชื่อร้านตรงกับร้านที่ ตำรวจ สน.สุทธิสาร เคยจับอาบอบนวดย่านรัชดาฯ 17 ข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่รับอนุญาตมาแล้ว เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยระหว่างการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวกับสื่อมวลชน นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล โทรเข้ามา ให้ตนนำข้อมูลเรื่องจีนเทาไปให้ นายชูวิทย์ยอมรับว่าตน ไม่สามารถเก็บไว้เอง หรือทำเองได้หมด จึงต้องอาศัยคนที่มีอำนาจ มีพาวเวอร์อยู่ในมือถ้าเอาไปให้ตำรวจก็เหมือนกับว่า เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน ตนจึงต้องหาคนที่มีไฟมาทำ มาจัดการ

นอกจากนี้ ยังเปิดภาพ 4 ขบวนการจีนเทา คอยเจรจาไกล่เกลี่ยให้ โดยมีหัวหน้าแก๊ง เลขา และนกต่อ2 คน โดยบอกว่าไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุน แต่ศูนย์กลางหลักอยู่ที่กัมพูชา และก็กระจายการลงทุนไปในประเทศต่างๆ รวมถึงไทย ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้ใช้พาสปอร์ตจีน แต่ใช้พาสปอร์ตกัมพูชา วานูอาตู และนาอูลู ซึ่งเป็นอาชญากรรมข้ามชาติชัดเจน สไฟรับสาเหตุที่ทุนจีน ไม่สามารถลงทุนที่จีนได้ เพราะกฎหมายแรง ต่างกันไทย ที่จ่ายส่วย เคลียร์ได้ก็จบ

ทั้งนี้นายชูวิทย์ได้เปิดเผยเรื่องร้านกัญชาที่เปิดหน้าโรงเรียนมีมากมาย และพบเจออีกที่คือ โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก และอีกที่คือที่ร้านกัญชาแห่งหนึ่งที่มีนักเรียนเข้าไปกินน้ำกัญชา และมีกัญชาที่ซื้อขายกันในโซเชียล และ มีตู้กาแฟกัญชา โดยให้อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยจัดการเรื่องนี้ โดยเหตุผลที่เขาสั่งปิดที่หน้าโรงเรียนเซนโยฯ เพราะ ที่ร้านไม่ได้แจ้งจำนวนและแหล่งที่มา เพราะไม่มีระเบียบควบคุมตั้งแต่ต้น จึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการป้องกันอย่างไร