นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า สมาคมฯได้ยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากร ขอให้จัดการสุกรเถื่อน 4.5 ล้านกิโลกรัมที่จับได้ล่าสุดในขั้นเด็ดขาดทันที เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 2565 ชิ้นส่วนเนื้อสุกรลักลอบนำเข้าซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตภายในประเทศเข้ามาสร้างความเสียหายกับตลาดการค้าสุกรมีชีวิตภายในประเทศอย่างมาก เป็นการทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของประเทศไทย สร้างแรงกดดันให้เกษตรผู้เลี้ยงสุกรต้องขายผลผลิตต่ำกว่าต้นทุน ขาดทุนตัวละ 2,000-3,000 บาท หรือเสียหายรวม 100-150 ล้านบาทต่อวัน จากจำนวนเข้าโรงฆ่าเฉลี่ย 50,000 ตัวต่อวันในปัจจุบัน

โดยขอให้จัดการตู้สินค้าเนื้อสุกรแช่แข็งตกค้างที่ตรวจพบแล้ว ณ ท่าเรือแหลมฉบังทั้ง 161 ตู้ ดังนี้ 1.)ขอให้ส่งทำลายสินค้าเนื้อสุกรแช่แข็งตกค้างทั้งหมด 2.)ขอให้เปิดเผยรายชื่อผู้นำเข้าทั้งหมดทุกตู้ พร้อมรายชื่อผู้ประกอบการนำเข้าที่ขึ้นทะเบียนไว้ 27 ราย 3.)ขอจำนวนตู้สินค้าสุกรเถื่อนทั้งหมดที่ส่งให้กรมปศุสัตว์ทำลายไปแล้ว ในครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2565 – 2566 (ตุลาคม 2565-มีนาคม 2566)

ทั้งนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศกำลังเดือดร้อนหนักกับภาวะสุกรหน้าฟาร์มราคาตกต่ำ ราคาประกาศวันพระวันนี้ราคาลงไปอยู่ที่ 72-82 บาท/กก. จากต้นทุนที่ 100 บาท/กก. และยังมีแนวโน้มลดลงอีก เมื่อทราบว่ามีสุกรเถื่อนค้างตู้คอนเทนเนอร์ที่แหลมฉบังถึง 161 ตู้ ทำให้ทุกคนเรียกร้องให้รัฐเร่งทำลายทั้งหมดทันที โดยไม่ควรอนุญาตให้ทำการ Re-Export ไปขึ้นที่ท่าเรืออื่น เพราะจะกลายเป็นกองทัพมดเข้ามาประเทศไทยทางตะเข็บชายแดน ทำให้ตรวจจับยากขึ้น และกระจายเชื้อโรคสู่ภูมิภาคต่างๆได้ง่ายขึ้น

“ต้องขอบคุณกรมศุลกากรที่ล็อคตู้หมูเถื่อนให้อยู่ในอารักขาของกรมไว้ได้มากถึงขนาดนี้ และทราบว่าเตรียมส่งมอบให้กรมปศุสัตว์นำไปทำลายทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ดีกว่าการอนุญาตให้ผู้นำเข้าทำการ Re-Export เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นสินค้าผิดกฎหมาย ขณะที่บรรดาผู้นำเข้าที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของกรมศุลกากรจะถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการทำลายทั้งหมดจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะดึงเวลาการทำลายออกไป” นายสุรชัยกล่าว

การตัดสินใจทำลายสุกรเถื่อนอย่างรวดเร็วจะทำให้สังคมจะได้รับทราบว่า ใครคือผู้นำเข้าหรือชิปปิ้งของตู้หมูเถื่อนดังกล่าวและยังช่วยทำให้เกษตรกรมั่นใจว่าจะไม่มีหมูเถื่อนจากตู้เหล่านี้กลับเข้ามาตีตลาดประเทศไทยได้อีก ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะสามารถนำรายชื่อผู้นำเข้า-ชิปปิ้งมาขยายผลในการดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด โดยควรต้องรีบจัดตั้ง “คณะทำงานร่วม ระหว่าง สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และกรมการค้าภายใน” เพื่อถอนรากถอนโคนขบวนการหมูเถื่อนให้หมดไปจากประเทศไทย เป็นผลดีต่อเกษตรกรและคนไทยทั้งประเทศ

นอกจากนี้ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติจะนำความเดือดร้อนของเกษตรกรไทย เข้าหารือกับเอกอัครราชทูตประเทศบราซิลประจำประเทศไทยตามที่ได้รับเชิญมา เนื่องจากสุกรเถื่อนส่วนใหญ่ที่เข้ามาสู่ประเทศไทยมีต้นกำเนิดมาจากประเทศบราซิล โดยขอยืนยันว่าการนำเข้าเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งผิดกฎหมายไทย และอาชีพการเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพเฉพาะที่สงวนไว้สำหรับเกษตรกรไทย หากบราซิลยังส่งสุกรผิดกฎหมายเข้ามาจำนวนมหาศาลและต่อเนื่องเช่นนี้ เท่ากับสนับสนุนการทำลายตลาดสุกรในประเทศ ทำลายอาชีพของคนไทย เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องขอร้องท่านทูตบราซิลให้ระงับการกระทำผิดกฎหมายทั้งหมดทันที