ประจวบคีรีขันธ์ -อุกอาจ แก๊งคนร้ายใช้ไอ้โม่งคลุมหน้า อ้างเป็นชุดสืบภาค 7 ปืนจี้หัวอุ้มสาวใหญ่ขี้นรถเก๋งซีวิคสีขาวออกจากหน้าหมู่บ้าน ข่มขู่เหยื่อให้นำเงิน 3 แสนบาทมาเป็นค่าไถ่ตัว หากไม่จ่ายจะยัดยาบ้า 1 พันเม็ด แล้วส่งเข้าเรือนจำห้ามประกันเด็ดขาด เจรจาต่อรองเหลือ 2 แสนบาท หลังได้เงินถึงยอมปล่อยตัว ผงะคนโทร.แจ้งลูกสาวผู้เสียหายเพื่อรีดเงินเป็นตำรวจสังกัด นปพ.จ.ประจวบฯ

เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เข้าเก็บหลักฐานเป็นเสื้อชุดนอนสีแดงของนางพัชรี สนสนิท ผู้เสียหาย และหมวกไหมพรม 2 ชิ้น ที่คนร้ายใช้คลุมศีรษะนางพัชรีไว้ เพื่อนำไปตรวจสารพันธุกรรม (DNA) ของคนร้ายที่นั่งประกบผู้เสียหายในรถยนต์ และล็อกแขนทั้งสองข้างของเหยื่อไว้ เนื่องจากมีการสัมผัสจากตัวคนร้ายบนเสื้อผ้าของผู้เสียหาย ขณะนั่งอยู่ในรถตลอดเวลา ระหว่างนั้นคนร้ายบางคนเกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงหลับซบหน้ามาที่ไหล่ของผู้เสียหาย บางช่วงคนร้ายยังใช้มือที่ไม่ได้สวมถุงมือ ดึงหมวกไหมพรมคลุมหน้าผู้เสียหายให้ปิดแน่น ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อมั่นว่าจะมีดีเอ็นเอของคนร้ายติดอยู่บนเสื้อผ้าของผู้เสียหาย

ขณะที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ เช็กกล้องวงจรปิดตามถนนเส้นหลักและภายในหมู่บ้านของผู้เสียหาย ปรากฏชัดภาพรถเก๋งฮอนด้าซีวิก สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน วิ่งเข้ามาในถนนหมู่บ้าน คาดว่าคนร้ายมาดูลาดเลาก่อนจะก่อเหตุอุ้มตัวผู้เสียหาย ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวติดต่อขอสัมภาษณ์ พล.ต.ต.วันชัย ธารณธรรม ผบก.ภ.จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เนื่องจากผู้เสียหายอ้างว่า 1 ในกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุเป็นตำรวจยศ จ.ส.ต. สังกัดชุดเฉพาะกิจ นปพ.จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่พล.ต.ต.วันชัยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์

คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 ก.ย. นางพัชรี หรือหนู สนสนิท อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52/5 หมู่ 5 ซอย 13 บ้านดอนเหียง ต.เกาะหลัก อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ พร้อมบุตรสาว เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.หญิง รัตนภรณ์ ทองจีน รอง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ว่า ถูกกลุ่มคนร้ายอ้างตัวเป็นตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 อุ้มขึ้นรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มีสติกเกอร์ตราโล่แปะกระจกหลังรถเรียกค่าไถ่จำนวน 3 แสนบาท ผู้เสียหายต่อรองเหลือ 2 แสนบาท หลังยอมจ่ายเงินคนร้ายได้ปล่อยตัวผู้เสียหายเป็นอิสระ เหตุเกิดช่วงเช้าวันที่ 20 ก.ย.

นางพัชรีให้การอ้างว่า หลังขี่รถ จยย.ส่งหลานสาวไปโรงเรียนเสร็จ และกำลังกลับเข้าบ้าน มีกลุ่มคนร้ายมากัน 4 คน ปกปิดใบหน้า ขับรถเก๋งคันดังกล่าวปาดหน้าบังคับให้หยุดรถ จยย. จากนั้นใช้หมวกไหมพรมคลุมศีรษะสองชั้น ใช้เคเบิลไทรัดข้อมือทั้งสองข้างลากตัวขึ้นเบาะด้านหลัง มีชายสองคนนั่งประกบซ้ายขวาใช้ปืนจี้ศีรษะข้างละ 1 กระบอก ข่มขู่ว่าอดีตสามีของตนที่เลิกรากันไปกว่า 2 ปีแล้ว ถูกจับยาบ้า 1 พันเม็ดที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และซัดทอดมาถึงตนว่ามีส่วนพัวพันกับยาบ้าลอตดังกล่าวด้วย คนร้ายอ้างว่านายสั่งให้มาเอาเงินจากตน 300,000 บาท เพื่อปิดคดี หากไม่ยอมจ่ายจะยัดยาบ้า 1 พันเม็ดให้ แล้วส่งเข้าเรือนจำกลางนครปฐม ห้ามประกันตัวเด็ดขาด

ผู้เสียหายเล่าต่อไปว่า ขณะถูกจับนั่งอยู่ในรถ คนร้ายขับรถวนไปวนมา คาดว่าจะใช้เส้นทางถนนสายรอง หลบเลี่ยงเส้นทางหลักที่มีการติดตั้งกล้องบันทึกภาพวงจรปิด ไม่ให้ดื่มน้ำ หรือกินอาหารเลย แม้กระทั่งปวดปัสสาวะยังไม่ให้เข้าห้องน้ำ ประกอบกับรถติดฟิล์มกระจกสีดำไม่เป็นที่สังเกต ระหว่างทางคนร้ายได้สับเปลี่ยนรถเก๋งมาเป็นรถกระบะ จากนั้นคนร้ายโทรศัพท์ไปหาลูกสาวของตนบอกว่า แม่โดนจับให้นำเงินมาเป็นค่าไถ่ 3 แสนบาท ทั้งที่ตนยังไม่ได้ให้เบอร์โทร.ลูกสาวไป มาทราบจากลูกสาวภายหลังว่า หมายเลขโทรศัพท์ที่โทร.หาและคนที่โทร.มา จำเสียงได้ว่าเป็นตำรวจชื่อ “แงะ” เป็นเพื่อนของแฟนเก่าลูกสาว ระหว่างนั้นลูกสาวเจรจาต่อรองค่าไถ่เหลือ 2 แสนบาท คนร้ายยินยอม ลูกสาวได้ไปขอยืมเงินสินสอดจากหลานที่เพิ่งแต่งงาน 180,000 บาท รวมกับเงินของตนอีก 20,000 บาท

นางพัชรีให้ข้อมูลอีกว่า กลุ่มคนร้ายนัดให้นำเงินใส่ถุงไปวางไว้ข้างปั๊มน้ำมันร้าง ฝั่งตรงข้ามปั๊มน้ำมันพีที เกาะหลัก ให้วางไว้ใกล้จุดกระป๋องสีแดง ต่อมาคนร้ายเปลี่ยนจุดให้ไปวางไว้โคนเสาป้ายบอกทางหาดหว้าขาว หลังคนร้ายได้เงินแล้วยอมปล่อยตัวตน พร้อมยึดแหวนทองสองสลึง 1 วงของตนไปด้วย ต่อมามีไลน์จากคนรู้จักกับหลานที่ลูกสาวไปขอยืมเงิน ไลน์มาขู่ว่า “แงะอยู่ที่หน่วยขณะเกิดเหตุ ไม่ใช่คนทำ มีภาพจากกล้องวงจรปิดยืนยัน ไปแจ้งความเท็จ ระวังจะติดคุก แม่งานเข้าแน่ แจ้งความไม่จริงอ่ะชิหายเลย พวกตำรวจมันเอาคืนแน่” ยืนยันจะเอาเรื่องกับกลุ่มผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด เพราะตนไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแต่อย่างใด