กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม ขับเคลื่อนนโยบายการยกระดับภาคอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี ผนึกความร่วมมือภาคเอกชนรายใหญ่ อาทิ ซีพีเอฟ ปตท. ไทยคม และอินโนบิก ดันสตาร์ทอัพดีพเทค ปั้นนวัตกรรมร่วม (Co-Creation) ตอบโจทย์ความต้องการภาคเอกชน ส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจ ขยายผลสู่นวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ตั้งเป้าส่งเสริมสตาร์ทอัพ 25 กิจการ คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 300 ล้านบาท

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่นั้น ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องมีการยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลได้กำชับทุกฝ่ายให้เร่งดำเนินการ เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทย และเป็นหนึ่งในพันธกิจที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญ ภายใต้การนำของ

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบกับนโยบายของ ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมเข้าสู่วิถีใหม่ โดยให้ความสำคัญในการยกระดับทุกองค์ประกอบของภาคอุตสาหกรรมควบคู่กับ การสร้างความเข้มแข็งและกระจายรายได้สู่ชุมชน ด้วย ‘หัว’ และ ‘ใจ’ โดยเฉพาะเน้นการปรับเปลี่ยนธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ รวมถึงการส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมสู่เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในอนาคตต่อไป

นายใบน้อย กล่าวต่อว่า จากนโยบายดังกล่าว ในปี 2566 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม ได้มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ให้เติบโตด้วยกระบวนการทางธุรกิจที่เข้มข้น ผ่านนโยบาย “ดีพร้อมโต โตได้ โตไว โตไกล โตให้ยั่งยืน” โดยหนึ่งในนั้น คือ โตได้ (Start) ที่เน้นการส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ หรือสตาร์ทอัพ (Startup) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตเศรษฐกิจของประเทศ

ด้วยการดึงจุดเด่นด้านศักยภาพการใช้เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์จนเกิดเป็นนวัตกรรมที่สามารถสนับสนุนและแก้ปัญหาให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงมาต่อยอดพัฒนาศักยภาพให้สูงขึ้น โดยที่ผ่านมา ดีพร้อม (DIPROM) ได้ติดอาวุธเพิ่มเติมทักษะการประกอบการ เพื่อให้เกิดโมเดลธุรกิจที่พร้อมต่อยอดกิจการและการเชื่อมโยงไปยังแหล่งเงินทุนคุณภาพ (CVC) สำหรับผู้ประกอบการในระยะเติบโต ผ่านกิจกรรมเชื่อมโยงตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือดีพร้อม สตาร์ทอัพ คอนเน็ค (DIPROM Startup Connect) ซึ่งปีนี้ ดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจของวิสาหกิจเริ่มต้น โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการ

และอุตสาหกรรมสนับสนุนต่าง ๆ รวมถึงเป็นเวทีให้กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเริ่มต้นได้นำเสนอนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจและสนองความต้องการของตลาด ตลอดจนการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและส่งเสริมให้ธุรกิจขยายตลาดไปในต่างประเทศได้โดยในปี 2566 นี้ กลุ่มเป้าหมายหลักของ ดีพร้อม สตาร์ทอัพ คอนเน็ค ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี เชิงลึก หรือดีพเทค หรือเทคโนโลยีทั่วไปที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อาทิ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ การแพทย์ครบวงจร วัสดุชีวภาพ และพลังงาน โดยมีจุดเด่นที่มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมร่วม หรือ Co-Creation

ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรเอกชนรายใหญ่ในการทดลองใช้นวัตกรรม หรือโซลูชั่นส์ในตลาดจริง (Proof of Concept : POC) ถือเป็นมิติใหม่ของการสนับสนุนสตาร์ทอัพที่ให้พันธมิตรเอกชน หรือลูกค้ารายใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมสร้างและพัฒนาสินค้า หรือบริการของสตาร์ทอัพให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนและตอบโจทย์ความต้องการมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นการสร้างโอกาสในการขยายตลาดร่วมกันในอนาคตต่อไป โดยมีบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมเมื่อปีที่แล้วเข้าร่วมต่อยอดกิจกรรมในปีนี้ จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท
ไทยคม จํากัด (มหาชน) และบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรเอกชนยักษ์ใหญ่รายใหม่

เข้าร่วมเพิ่มเติมอีก จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท แมกซ์ เวนเจอร์ส จำกัด บริษัท บางกอกอินดัสเทรียล แก๊ส จำกัด และบริษัท ฮอนด้าเทรดดิ้ง เอเชีย จำกัด ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 300 ล้านบาท และสามารถเชื่อมโยงสตาร์ทอัพ 25 กิจการ ไปยังแหล่งเงินทุนคุณภาพ (Corporate venture capital : CVC) ในลำดับถัดไป ทั้งนี้ ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการสตาร์ทอัพได้รับการคัดเลือก จำนวน 17 บริษัท เพื่อนำเสนอโมเดลธุรกิจ โดยเกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจร่วมลงทุนกว่า 176 ล้านบาท และเกิดการขยายฐานลูกค้าและสร้างนวัตกรรมร่วม หรือ Co-Creation กว่า 76.5 ล้านบาท นายใบน้อย กล่าวทิ้งท้าย