
มารู้จัก “ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ” กันเถอะ *
“ หลอกให้กด link แล้วถูกดูดโอนเงิน”
“ หลอกให้กดดูเพจ แล้วถูกดูดเงิน โอนเงิน ”
“ แก๊งค์ CALL CENTER หลอกให้โอนเงิน”
“ หลอกให้ร่วมลงทุนออนไลน์ ”
“ ซื้อของออนไลน์ ได้ของไม่ตรงปก”
“ ทำอย่างไรจึงจะอายัดเงินทัน”
ปัญหาดังกล่าว เป็นปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีซึ่งมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ และสังคมเป็นวงกว้าง เพราะปัจจุบันมี ผู้เสียหาย ผู้ถูกหลอก ที่สูญเสียเงินเป็นจำนวนมากให้แก่ มิจฉาชีพ หรือผู้ก่อเหตุที่ใช้ความสามารถทางระบบเทคโนโลยีในการกระทำผิด โดยใช้ความไม่รู้เท่าทันของเหยื่อ ,ใช้ความกลัวของเหยื่อ, ใช้ความโลภของเหยื่อ, ใช้ความอยากรู้ อยากดูของเหยื่อ เป็นจุดล่อให้เหยื่อไปติดกับดัก และเมื่อเหยื่อหลงเชื่อไปกดดู, ไปทำตาม, ไปร่วมลงทุน หรือไปสั่งซื้อ ก็จะถูกคนร้ายใช้ระบบเทคโนโลยีเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ เข้าถึงบัญชีเงินฝาก เข้าถึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์แล้วยักย้ายถ่ายเทเงินออกจากระบบ หรือบัญชีเงินฝากของเหยื่อ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยเรื่อย หากไม่มีกฎหมายใดมาระงับยับยั้งความเสียหายดังกล่าว ย่อมเกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้
ดังนั้น เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 จึงได้มีการประกาศใช้บังคับ “ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566”( มีผลใช้บังคับวันที่ 17 มีนาคม 2566)
ทำไมต้องออกเป็น “ พระราชกำหนด”
เนื่องจาก ปัจจุบันมีการใช้ “ วิธีการทางเทคโนโลยี” หลอกลวงประชาชนทั่วไปผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ จนทำให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และ ผู้หลอกลวงได้โอนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น ผ่านบัญชีเงินฝาก , บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของบุคคลอื่นต่อไปเป็นทอด ๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อปกปิดหรืออำพรางการกระทำ ความผิด ซึ่งแต่ละวันมีประชาชนผู้สุจริตถูกหลอกลวงจำนวนมากและมีมูลค่าความเสียหายสูงมาก และการหลอกลวงดังกล่าวซึ่งเป็นการกระทำความผิดได้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างและเป็นอันตรายร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะต้องมีมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดังกล่าว เพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ
นี่คือ เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องตรา “ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ” ออกมาใช้บังคับเป็นการเร่งด่วน แทนที่จะต้องออกตราเป็น “พระราชบัญญัติ” โดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภาซึ่งมีขั้นตอนและระยเวลายาวนานมาก ดังคำกล่าวที่ว่า “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้แล้ว”
มาดูกันว่า พระราชกำหนดฯ ฉบับนี้ จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้นอย่างไร
ก่อนอื่นต้องเริ่มจาก บทนิยามศัพท์ : มาตรา 3 ในพระราชกำหนดนี้
“อาชญากรรมทางเทคโนโลยี” หมายความว่า การกระทำ หรือ พยายามกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อฉ้อโกง กรรโชก หรือรีดเอาทรัพย์บุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือโดยประการที่น่าจะทำให้บุคคลอื่นเสียหาย หรือกระทำความผิดฐานฉ้อโกง กรรโชก หรือรีดเอาทรัพย์ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ
“สถาบันการเงิน” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน ของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
“ผู้ประกอบธุรกิจ” หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วย ระบบการชำระเงิน
หน้าที่ของ สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ให้บริการเครื่อข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่น: ในกรณีที่มี เหตุอันควรสงสัยว่า “มี” หรือ “อาจมี” การกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ( มาตรา 4.)
(1) ให้ “ สถาบันการเงิน” และ “ผู้ประกอบธุรกิจ” มีหน้าที่
“ เปิดเผย”หรือ “แลกเปลี่ยนข้อมูล” เกี่ยวกับ “บัญชีและธุรกรรม” ของลูกค้าที่เกี่ยวข้องในระหว่าง “สถาบันการเงิน” และ “ผู้ประกอบธุรกิจ” นั้นผ่านระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม,สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นชอบร่วมกัน ( มาตรา 4 วรรคแรก )
“เปิดเผย” หรือ “แลกเปลี่ยนข้อมูลการให้บริการ” ที่เกี่ยวข้องระหว่างกันผ่านระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ กระทรวงดิจิทัลฯ และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เห็นชอบร่วมกัน ( มาตรา 4 วรรคสอง )
หาก สตช., ดีเอสไอ หรือ ปปง. มีความจำเป็นต้องทราบ “ข้อมูลการลงทะเบียน” ผู้ใช้งานหรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” จะต้องทำอย่างไร :
มาตรา 5 – ให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
สั่งให้ “ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์, ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่น หรือผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว( ผู้รับคำสั่ง) เปิดเผยข้อมูล ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็น และ มีหน้าที่ส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่ “ผู้สั่ง” ภายในระยะเวลาที่ผู้สั่งกำหนด
จะระงับหรือยับยั้งการทำธุรกรรมได้อย่างไร :
กรณีที่หนึ่ง : กรณี สถาบันการเงิน หรือ ผู้ประกอบธุรกิจ เป็นผู้แจ้ง
มาตรา 6 –กรณีที่ “สถาบันการเงิน” หรือ “ผู้ประกอบธุรกิจ” พบเหตุอันควรสงสัยเอง หรือได้รับข้อมูลจาก ระบบ หรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล ตามมาตรา 4 (ข้างต้น)ว่า
“ บัญชีเงินฝาก หรือ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ใด ถูกใช้หรือ อาจถูกใช้ ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือการกระทำความผิดมูลฐาน หรือ ความผิดฐานฟอกเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน”
“สถาบันการเงิน” หรือ “ผู้ประกอบธุรกิจ ” มีอำนาจ / หน้าที่ :
(1.) ระงับการทำธุรกรรมชั่วคราว : ( ยับยั้งได้ไม่เกิน 7 วัน)
1.1 ให้ สถาบันการเงิน หรือ ผู้ประกอบธุรกิจ มีหน้าที่ ระงับการทำธุรกรรม และ
1.2 แจ้งให้สถาบันการเงิน หรือ ผู้ประกอบธุรกิจที่รับโอนถัดไปทุกทอดทราบ พร้อมทั้ง นำข้อมูลเข้าสู่ระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล (ตามมาตรา 4) เพื่อให้ระงับการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ทันทีเป็นการชั่วคราว ไม่เกินเจ็ดวัน นับแต่วันที่พบเหตุอันควรสงสัยหรือได้รับแจ้ง (แล้วแต่กรณี)
1.3 ทั้งนี้ การสั่งระงับการทำธุรกรรมชั่วคราว (ไม่เกิน 7 วัน) ดังกล่าว ก็เพื่อ “ตรวจสอบความถูกต้องแท้จริง” และ แจ้งให้“เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจดำเนินคดีอาญา” (เช่น เจ้าพนักงานตำรวจ) หรือ “เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน” (เลขา ปปง) ดำเนินการตรวจสอบ ( มาตรา 6 วรรคหนึ่ง )
(2) สั่งระงับการทำธุรกรรมทันที :
ในกรณีที่ “สถาบันการเงิน” หรือ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ได้รับแจ้งเหตุ จากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจดำเนินคดีอาญา (เจ้าพนักงานตำรวจ) หรือ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( เลขาธิการ ปปง.) ให้ “สถาบันการเงิน” หรือ“ผู้ประกอบธุรกิจ” มีหน้าที่ ระงับการทำธุรกรรม พร้อมทั้ง นำข้อมูลเข้าสู่ระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล(ตามมาตรา ๔) ทั้งนี้ เพื่อให้ “สถาบันการเงิน” และ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ผู้รับโอนทุกทอด ทราบและ ระงับการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้ทันที แล้วแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ (มาตรา 6 วรรคสอง)
(3) หาก เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจดำเนินคดีอาญาหรือ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่า
3.1 มี พยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า บัญชีเงินฝาก หรือ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์นั้น ถูกใช้ในการกระทำความผิดก็ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการระงับ การทำธุรกรรม หรือ แจ้งสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรา 6 วรรคสาม)
3.2 แต่หาก ไม่ปรากฏว่า มีพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่า บัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์นั้นได้ถูกใช้ในการกระทำความผิด ก็ให้แจ้งผลการตรวจสอบให้ สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจ ทราบ เพื่อ “ยกเลิก” การระงับการทำธุรกรรมต่อไป ( มาตรา 6 วรรคสาม)
3.3 หาก พ้นกำหนดเวลา (ตามมาตรา 6 วรรคสาม) แล้ว หรือ พ้น 7 วันนับแต่วันรับแจ้งการระงับ) แล้ว แต่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจดำเนินคดีอาญา หรือเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ยังคงไม่ได้แจ้งผลการดำเนินการตามกฎหมาย ก็ให้สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจ “ยกเลิก” การระงับการทำธุรกรรมนั้น
กรณีที่สอง : กรณี “ผู้เสียหาย” เป็นผู้แจ้งเอง (ผู้เสียหายสามารถแจ้งให้ สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้ระงับการทำธุรกรรมไว้ชั่วคราวไว้ก่อนแล้วจึงค่อยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนได้ )
มาตรา 7 ผู้เสียหาย ซึ่งเป็น “ผู้ถือบัญชีเงินฝาก” หรือ “บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์” สามารถแจ้งให้ “สถาบันการเงิน” หรือ“ผู้ประกอบธุรกิจ” ทราบว่า ได้มีการทำธุรกรรมโดย บัญชีเงินฝาก หรือ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวและเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อให้ “สถาบันการเงิน” หรือ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ดังกล่าว
(1) “ระงับการทำธุรกรรมนั้นไว้ชั่วคราว” ( ทันที) แม้ผู้เสียหายจะยังไม่ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ พร้อมทั้งนำข้อมูลเข้าสู่ระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล (ตามมาตรา 4) ได้
(2) เมื่อ “สถาบันการเงิน” หรือ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ได้ระงับการทำธุรกรรมชั่วคราวแล้ว ก็ให้แจ้ง “สถาบันการเงิน”และ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ผู้รับโอนทุกทอดทราบและ แจ้งให้ผู้เสียหายไป “ร้องทุกข์” ต่อพนักงานสอบสวนภายใน เจ็ดสิบสองชั่วโมง
(3) เมื่อผู้เสียหายได้ไป “การร้องทุกข์” แล้ว ให้พนักงานสอบสวนแจ้ง ให้ “สถาบันการเงิน”หรือ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ที่ได้รับการทำธุรกรรมนั้นไว้ทราบ (ว่ามีการร้องทุกข์แล้ว)และให้พนักงานสอบสวนพิจารณา ดำเนินการ เกี่ยวกับบัญชีเงินฝากและบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งความร้องทุกข์
(4) หากภายใน 7 วัน นับแต่วันรับแจ้งความร้องทุกข์แล้ว พนักงานสอบสวนยัง ไม่ได้มีคำสั่งให้ “สถาบันการเงิน”หรือ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ระงับการทำธุรกรรมไว้อีกต่อไป ก็ให้“สถาบันการเงิน” หรือ “ผู้ประกอบธุรกิจ” ยกเลิกการระงับการทำธุรกรรม” นั้น
วิธีการแจ้งข้อมูล หรือหลักฐาน : มาตรา 8
ถ้าแจ้ง “ทางโทรศัพท์” ก็ให้ ผู้ได้รับแจ้ง “บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ลงลายมือชื่อผู้รับแจ้ง และวันเวลาที่ได้รับไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งส่ง สำเนาให้ผู้แจ้งเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย
วิธีร้องทุกข์/ สถานที่ร้องทุกข์ :
1. สามารถร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน ณ สถานีตำรวจ แห่งใดในราชอาณาจักร หรือต่อ “กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ก็ได้
2. ร้องทุกข์โดย “วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์” ก็ได้ ทั้งนี้ ให้ถือว่า เป็นการร้องทุกข์โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
3. ร้องทุกข์ต่อ “พนักงานสอบสวน” ที่ใดก็ได้
ในการสอบสวน หรือ ดำเนินการเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนที่ รับคำร้องทุกข์ ไม่ว่าประจำอยู่ที่ใดหรือพนักงานสอบสวนที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ มีอำนาจสอบสวนและดำเนินการเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวได้ ไม่ว่าความผิดนั้นจะเกิดขึ้น ณ ที่ใดในราชอาณาจักร (มาตรา 8)
ข้อสังเกตุ– เป็นบทยกเว้นในเรื่องอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา 18 , 19 ซึ่งกำหนดให้ พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้ เกิด หรืออ้างว่าเกิด หรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอำนาจ หรือ ผู้ต้องหามี ที่อยู่หรือถูกจับ ภายในเขตอำนาจของตน
การกำหนดความผิดและบทลงโทษตามพระราชกำหนดฯฉบับนี้ :
มาตรา 9– ผู้ใด “เปิด” หรือ “ยินยอม” ให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตน หรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ทั้งนี้ โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ความผิดทางอาญาอื่นใด
ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 10- ผู้ใด เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด
ต้องระวางโทษ “จำคุกตั้งแต่สองปีถึงห้าปี” หรือ “ปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงห้าแสนบาท” หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 11. – ผู้ใด เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มีการซื้อ หรือขาย เลขหมายโทรศัพท์ (ซิมโทรศัพท์) สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้
ต้องระวางโทษ “จำคุกตั้งแต่สองปีถึงห้าปี” หรือ “ปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงห้าแสนบาท” หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทยกเว้นกฎหมาย PDPA :
มาตรา 12– การเปิดเผย/ การแลกเปลี่ยน/ การเข้าถึง/ ตลอดจน การเก็บ / การรวบรวม หรือ การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชกำหนดนี้ ไม่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
แต่อย่างไรก็ตาม “ผู้ได้รับ” หรือ “ผู้ครอบครองข้อมูล” จะเปิดเผยให้บุคคลอื่นซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทราบ มิได้
หมายความว่า สถาบันการเงิน / ผู้ประกอบธุรกิจ / ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่น ได้รับการยกเว้น ให้สามารถจัดเก็บข้อมูล นำไปใช้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบ หรือไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นเจ้าของข้อมูลก่อนได้ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการดำเนินการภายใต้เงื่อนไขแห่งพระราชกำหนดฯ ฉบับนี้เท่านั้น
หมายเหตุ – พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562หรือ PDPA คือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ “ป้องกันการละเมิด” ข้อมูลส่วนบุคคลของทุกคนรวมถึง การจัดเก็บข้อมูลและนำไปใช้โดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ และไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล จะกระทำไม่ได้
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ผู้เขียนหวังว่า ท่านคงได้รับความรู้เกี่ยวกับพระรราชกำหนดฯ ฉบับนี้บ้าง ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็รู้ว่า เมื่อเกิดความเสียหายจากการกระทำอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สิ่งที่ต้องรีบที่สุดคือ ต้องแจ้งอายัดบัญชี หรือระงับยับยั้งการทำธุรกรรมทางบัญชีให้เร็วที่สุด โดยพระราชกำหนดฯ ฉบับนี้ได้ให้สิทธิแก่ ผู้เสียหายที่จะไป “ แจ้งอายัด” หรือ “แจ้งให้ธนนาคาร หรือสถาบันทางการเงิน ระงับยับยั้งการทำธุรกรรมทางบัญชีกับทางธนาคารหรือสถาบันทางการเงินได้ด้วยตนเองไว้ก่อน (ก่อนที่จะไปแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งในอดีต ธนาคาร หรือสถาบันการเงินมักจะปฏิเสธไม่รับแจ้งอายัด หรือระงับการทำธุรกรรม โดยขอให้ผู้เสียหายไปแจ้งความมาก่อน ) แต่ก็เป็นการอายัด หรือระงับยับยั้งการทำธุรกรรมทางการเงินได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และเมื่อแจ้งอายัด หรือระงับยับยั้งการทำธุรกรรมทางบัญชีแล้ว ต้องรีบไปแจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวน ภายใน 72 ชั่วโมง และเมื่อมีการแจ้งความร้องทุกข์แล้ว ก็จะก่อให้เกิดสิทธิแก่พนักงานสอบสวนที่จะสามารถไปดำเนินการเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากและบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป
นอกจากนี้ยังทำให้ทราบว่า วิธีการแจ้งอายัด หรือระงับยับยั้งการทำธุรกรรมทางบัญชีไว้ก่อน สามารถแจ้งทาง โทรศัพท์ หรือ ทางวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ก็ได้ และผู้เสียหายยังสามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่ใดก็ได้ และให้พนักงานสอบสวนในท้องที่รับแจ้งความเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นการยกเว้นหลักตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ว่า ผู้เสียหายจะต้องแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่มี่ความผิดเกิด เชื่อว่าเกิด หรืออ้างว่าเกิด หรือในท้องที่ที่ผู้ต้องหาถูกจับกุม และยังทราบต่อไปว่า หากไปรับจ้างเปิดบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่า “ รับจ้างเปิดบัญชีม้า” แล้วมีผู้ไปกระทำผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยใช้ บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว ผู้เปิดบัญชี ฯ (บัญชีม้า) จะต้องรับผิดและมีโทษจำคุก และปรับ ( ซึ่งแต่เดิม ไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดโดยตรง จึงต้องใช้ความผิดฐาน “เป็นผู้สนับสนุน” หรือ “ตัวการร่วม” (หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้รับจ้างเปิดบัญชี ร่วมรู้เห็นหรือ เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานนั้น) ซึ่งรวมถึง การรับจ้างเปิด ซิมโทรศัพท์เคลื่อนที่” ด้วย
อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
อดีต รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน (คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร