กรณีตำรวจ ตม.ร่วมกันอุ้ม น.ส.นามี แซ่ลี อายุ 38 ปี ชาวไทยล่ามภาษาจีน พร้อมนายฉี อายุ 62 ปี ชาวจีนจากบ้านในซอยประชาสงเคราะห์ 2 แขวงดินแดง เขตดินแดง ไปรีดเงินคริปโตเคอร์เรนซีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ต่อมา น.ส.นามีเข้าแจ้งความ สน.ดินแดง พนักงานสอบสวนขอศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางออกหมายจับตำรวจ 5 นาย ประกอบด้วย พ.ต.ต.สรวิศ อินทร์ลับ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 พ.ต.ต.จิรภัทร บุญนำ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 ร.ต.ท.สุริยะ รุกขชาติ รอง สว.สืบสวน บก.ตม.1 ร.ต.ท.ประวิต พลจังหรีด รอง สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 และ ด.ต.พีระศักดิ์ ยิ้มไพบูลย์ ผบ.หมู่ สืบสวน บก.ตม.1 ทุกคนถูกควบคุมตัวแล้วยกเว้น พ.ต.ต.จิรภัทร นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังคุมตัวนายโอภาส ศรียา อายุ 45 ปี คนชี้เป้าจาก จ.ชัยภูมิ ส่งพนักงานสอบสวนที่ สน.ดินแดง ดำเนินคดีด้วย
ล่าสุด พ.ต.อ.นราวุฒิ รักษาวงศ์ ผกก.สน.ดินแดง สั่งการให้พนักงานสอบสวนคุมตัว พ.ต.ต.สรวิศ อินทร์ลับ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 ร.ต.ท.สุริยะ รุกขชาติ รอง สว.สืบสวน บก.ตม.1 และ ด.ต.พีระศักดิ์ ยิ้มไพบูลย์ ผบ.หมู่ สืบสวน บก.ตม.1 ออกจากห้องขังชั้นสอง สน.ดินแดง เพื่อส่งฝากขังยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หลังจากเมื่อวานส่ง ร.ต.ท.ประวิต พลจังหรีด ฝากขังไปแล้ว กำลังตำรวจฝ่ายป้องกันและปราบปรามวางกำลังเพื่อความเรียบร้อย คุมตัวขึ้นรถคุมขังไปฝากขัง ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามแต่ตำรวจทั้ง 3 คนปิดปากเงียบ ทุกคนใส่หมวกและแมสก์ก้มหน้าท่าทางเคร่งเครียด
ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พนักงานสอบสวน สน.ดินแดงนำตัว ด.ต.พีระศักดิ์ ยิ้มไพบูลย์ อายุ 44 ปี ผบ.หมู่ สืบสวน บก.ตม.1 พ.ต.ต.สรวิศ อินทร์ลับ อายุ 32 ปี สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 และ ร.ต.ท.สุริยะ รุกขชาติ อายุ 55 ปี รอง สว.สืบสวน บก.ตม.1 ผู้ต้องหาที่ 1-3 ตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมายื่นคำร้องขอฝากขังผัดแรก
คำร้องบรรยายว่า พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาและสอบสวนผู้ต้องหาฐานเป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่เป็นเจ้าพนักงาน ฐานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือ กระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายและร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่นหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นโดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 157 309 วรรคสอง 310 ประกอบมาตรา 83
พฤติการณ์คือ ผู้ต้องหากับพวกแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกร้องให้ผู้เสียหายจ่ายเงิน 10 ล้านบาท เพื่อไม่ให้ถูกจับ ผู้เสียหายให้ลูกชายโอนเงินให้ ร.ต.ท.ประวิตกับพวกคืนโทรศัพท์มือถือให้แล้วปล่อยตัว หลังเกิดเหตุผู้กล่าวหามาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี ด.ต.พีระศักดิ์ ยิ้มไพบูลย์ พ.ต.ต.สรวิศ อินทร์ลับ ร.ต.ท.สุริยะ รุกขชาติ และ พ.ต.ต.จิรภัทร บุญนำ กับพวกรวม 7 คน จนกว่าคดีถึงที่สุด เหตุที่นายฉีหรือนายต้าเกอ 1 ในผู้เสียหายไม่มาร้องทุกข์ดำเนินคดีพร้อมผู้กล่าวหา เนื่องจากกลัวถูกจับดำเนินคดีจึงหลบหนีออกนอกประเทศ ส่วนหลักฐานการโอนเงิน อยู่ระหว่างผู้กล่าวหาประสานลูกชายนายต้าเกอนำมามอบให้พนักงานสอบสวนประกอบการดำเนินคดีในภายหลังพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 นายและจับกุมตัวได้ก่อนนำตัวมายื่นฝากขัง ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนยื่นค้านประกันตัว เนื่องจากมีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนียุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ก่อเหตุภยันตรายประการอื่น และมีพฤติการณ์ขัดขืนไม่มาพบตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา อีกทั้งรวมกลุ่มกันเตรียมหลบหนีไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ประกอบกับคดีมีอัตราโทษสูง ผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกันกระทำความผิดหลายคน เป็นการกระทำเสื่อมเสียภาพลักษณ์ขององค์กร เป็นคดีที่ประชาชนสนใจ ประกอบกับผู้เสียหายเป็นผู้หญิงเกิดความหวาดกลัวเกรงว่าจะได้รับอันตราย ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังได้
ต่อมา พ.ต.ต.สรวิศ และ ร.ต.ท.สุริยะ ผู้ต้องหาที่ 2-3 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ได้ยื่น ศาลพิเคราะห์คำร้องแล้วเห็นว่า ความผิดที่ถูกกล่าวหามีโทษสถานหนัก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน ผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงานอาศัยตำแหน่งหน้าที่การงานกระทำความผิด หากได้รับการปล่อยชั่วคราวอาจหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราว จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมผู้ต้องหาไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มหานคร
ที่ บช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.เผยว่า ตำรวจได้รับการประสานจากครอบครัว พ.ต.ต.จิรภัทร บุญนำ ว่าจะเข้ามอบตัว จะให้ตำรวจไปรับตัวที่ต่างจังหวัดแต่ยังไม่ระบุเวลาสถานที่ มีรายงานจากชุดสืบสวนด้วยว่า นายโอภาส ศรียา นายหน้ารับทำพาสปอร์ตให้ผู้เสียหายชาวจีนรับว่า นำผู้เสียหายชาวจีนไปสวมบัตรประชาชนและเป็นคนพาไปทำหนังสือเดินทางวันเกิดเหตุ แต่ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือชี้เป้าให้แก๊งตำรวจอุ้มรีดทรัพย์ นายโอภาสมีหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.65 ข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นฯ และเป็นผู้สนับสนุนพนักงานเจ้าหน้าที่ปลอมบัตรประจำตัวประชาชนฯ หลังสอบปากคำเสร็จคืนที่ผ่านมานำตัวไปส่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ดำเนินคดีตามหมายจับเดิม ส่วนคดีปัจจุบันอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน
มีรายงานอีกว่า เมื่อปี 2565 นายโอภาสได้รับการติดต่อจากล่ามสาวชาวไทยว่า มีชาวจีนต้องการทำบัตรประชาชน ว่าจ้างนายโอภาสดำเนินการให้ค่าจ้าง 500,000 บาท นายโอภาสติดต่อกับบุคคลที่ตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยได้ นัดหมายไปทำบัตรประชาชนให้ชาวจีนที่ จ.ชัยภูมิ หลังจากนั้นนายโอภาสได้รับการติดต่ออีกครั้งจากล่ามสาวให้ช่วยเหลือทำพาสปอร์ต ไปเจอกันที่กรมการกงสุล ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะวันเกิดเหตุ บุคคลดังกล่าวรอพบอยู่ที่กรมการกงสุล ขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลติดตามตัวบุคคลดังกล่าวและเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบสวน