ตำรวจตามจับ 5 ทีมอุ้มทำร้ายแอดมินเว็บพนันที่อ้างว่ามี ตร.อยู่เบื้องหลังแล้ว เหลือยังหนีอีก 2 ราย เผยมีจนท.ให้ข้อมูลทะเบียนราษฎร์คนร้าย เร่งล่าที่เหลือหากมีตำรวจเอี่ยวไม่เว้นแน่

กรณีนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจเฟซบุ๊ก “สายไหมต้องรอด” พาผู้เสียหายเป็นวิศวกรโปรแกรมเมอร์ ทำหน้าที่เป็น “แอดมิน” ให้กับเว็บไซต์พนันออนไลน์ เข้าร้องทุกข์กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. โดยอ้างว่าถูกนายตำรวจยศ “พล.ต.ต.” ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งลูกน้องให้รุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ จากสาเหตุที่ทำยอดรายได้จากเว็บพนันออนไลน์ลดลง พร้อมข่มขู่ว่าจะฆ่าให้ตายทั้งครอบครัว แต่เมื่อเอาเซิร์ฟเวอร์ไปตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดปกติ จึงได้รับการปล่อยตัวออกมา โดยแจ้งความเอาผิดไว้เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา

ความคืบหน้าล่าสุดของคดีนี้ ที่ สน.โชคชัย เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 10 ก.พ. 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. แถลงข่าวผลการจับกุม 5 ผู้ต้องหา ก่อเหตุทำร้ายร่างกายวิศวกรโปรแกรมเมอร์ผู้ดูแลเว็บไซต์การพนันออนไลน์ได้สำเร็จ

รอง ผบ.ตร.แถลงว่า กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร ได้สั่งการให้ ตนเร่งดำเนินการสืบสวนหาตัวกลุ่มผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว เนื่องจากเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างมาก เพราะมีการให้ข้อมูลว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ดังกล่าว และยังมีการก่อเหตุอย่างอุกอาจ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนร่วมกับ สน.โชคชัย ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบในคดีดังกล่าว เร่งสืบสวนติดตามผู้ก่อเหตุ สั่งการให้นำตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว

จากการสืบสวนทราบว่า ผู้เสียหายทำงานเป็นแอดมินเว็บไซต์พนันออนไลน์มาแล้วประมาณ 5-6 ปี ทำหน้าที่คอยดูแลลูกค้าและให้คำแนะนำเรื่องฝากถอนเงิน โดยมีกลุ่มของผู้ก่อเหตุเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ก่อเหตุตั้งข้อสงสัยว่า ผู้เสียหายโกงเงินไป เนื่องจากยอดเงินไม่ตรง จึงได้มีการนัดหมายเพื่อพูดคุยกัน โดยมีคนมารับผู้เสียหายไปเจอกลุ่มผู้ต้องหาที่ร้านกาแฟในเขต ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี มีกลุ่มผู้ต้องหารออยู่ประมาณ 4-5 คน ได้มีการซักถามผู้เสียหายเกี่ยวกับเงินที่หายไป แต่ผู้เสียหายปฏิเสธ จึงถูกกลุ่มผู้ต้องหาเตะต่อยหลายครั้ง และได้หยิบเอาโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตของผู้เสียหายไป และได้กดโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปจำนวน 25,000 บาท ระหว่างนั้นได้มีการแสดงข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายเพื่อข่มขู่

จากนั้นได้พาผู้เสียหายนั่งรถไปที่ห้องพักของผู้เสียหายในย่านลาดพร้าว-วังหิน แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. โดยคนที่พาไปได้มีการเปิดให้เห็นว่า มีการพกอาวุธปืนมาด้วย ทำให้ผู้เสียหายตกใจกลัว และยินยอมไปด้วยดี เมื่อถึงห้องพักพบว่าแฟนสาวของผู้เสียหายอยู่ด้วย กลุ่มผู้ต้องหาได้หยิบเอาทรัพย์สินเป็นรองเท้า และนาฬิกาเพิ่มไปอีก จากนั้นได้ขับรถกระบะหลบหนีไป เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยหลังเกิดเหตุผู้เสียหายตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือ

จากข้อมูลดังกล่าว ประกอบกับการรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย จึงได้ขอศาลออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 7 ราย ประกอบด้วย
1. น.ส.พัชญ์วัญญ์ พุ่มเรียบ อายุ 39 ปี เป็นคนซักถามและเอาโทรศัพท์ผู้เสียหายไปโอนเงิน
2. นายมนตรี กาสา อายุ 39 ปี เป็นคนซักถาม
3. นายชัยชนะ ช่วยบุญนาค อายุ 32 ปี เป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย (มอบตัว)
4. น.ส.รมิตา สุดจิตร์ อายุ 32 ปี เป็นคนช่วยเช็กข้อมูลบัญชีของผู้เสียหาย (มอบตัว)
5. นายธเนศ เล็กบรรจง อายุ 34 ปี เป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย (มอบตัว)
6. นายกฤษฎา แจ่มจำรัส อายุ 32 ปี เป็นคนขับรถพาไปห้องผู้เสียหาย (มอบตัว)
7. นายสุทัศน์ พิมพ์เสน อายุ 25 ปี เป็นคนขับรถพาไปห้องผู้เสียหาย (มอบตัว)

ทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ปล้นทรัพย์, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น โดยมีอาวุธ, หน่วงเหนี่ยว กักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือตกใจ โดยการขู่เข็ญ, กระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม ให้ได้รับความเดือดร้อน, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วน”

ล่าสุดผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวแล้วจำนวน 5 คน เหลือติดตามจับกุม 2 คน นอกจากนี้ ในส่วนของการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายซึ่งกลุ่มผู้ต้องหานำมาข่มขู่นั้น จาก การตรวจสอบพบว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความช่วยเหลือในการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว อยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผล หากพบว่าร่วมมือกับกลุ่มผู้กระทำความผิดจริง จะมีการดำเนินคดีถึงที่สุดต่อไป